บทความนี้คัดมาจากหนังสือ "ปัญหาไม่มา ปัญญาก็มี" ซึ่งได้รับมาจากรุ่นพี่ที่บริษัทครับ โดยอ่านบทแรกก็ได้แนวคิดที่โดนใจ เลยขอ Share เนื้อหาบทนี้เต็มๆ แบบไม่มีตัดทอน ครับ
สุข ทุกข์ ตัวเดียวกัน หลายคนบอกว่า ความสุขกับความทุกข์ เป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน และก็ไม่มีใครเลือกเป็นทุกข์ ทุกคนชอบและขวนขวายให้ได้ความสุขมาเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นให้ได้ความสุขมาเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น แต่น้อยคนที่จะมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าแท้จริงแล้ว ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ก็คือตัวเดียวกัน ที่เรามองเห็นว่าสุข ที่จริงคือความทุกข์ที่ได้รับการตอบสนอง ทำให้ความทุกข์ที่เคยมีนั้นลดน้อยลง ทุกๆอย่างมีเหตุผลเป็นตัวที่ทำให้เกิดขึ้น
ตัวอย่างง่ายๆ เวลาที่ร่างกายต้องการพลังงาน เกิดอาการหิวก็ต้องกิน ความหิวคือความรู้สึกทุกข์ เมื่อหาอาหารมากินจนอิ่ม เท่ากับว่าได้บำบัดระงับความทุกข์นั้น แต่คนเรามักมองไม่ออกหรือคิดไม่ทันคิด จึงคิดเอาเองว่ากินเพื่อความสุข แต่ที่จริงความสุขจากการกินมันอร่อยแค่ตรงลิ้น พอกลืนลงคอไปแล้ว ความอร่อยก็ถูกกลืนไปด้วย ที่เรารู้สึกว่าเป็นความสุขจังอร่อยจังก็เพราะความทุกข์ ความหิว ความอยาก มันได้รับการบำบัดไปชั่วขณะหนึ่งจึงรู้สึกสบายขึ้น จนพาลหลงกันไปว่าเรามีความสุข พอสักพักเมื่อความทุกข์มันก่อตัวขึ้นมาอีก เช่น เรื่มหิวขึ้นมาอีก หรือไม่หิวแต่ไปเจออาหารที่ดูน่าทาน หรือได้ยินคนอื่นชื่นชมว่าร้านนั้นร้านนี้อร่อย เราก็เกิดความอยากขึ้นมาอีก เราก็จะวิ่งหาสิ่งนั้นมาบำบัดอีก ที่เราเข้าไปติดใจมัน เพราะเรากำลังติดความรู้สึกที่คิดปรุงแต่งไปตามความต้องการของเราเอง แม้บางคนจะบอกว่า ความอยากของเค้าก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เพราะมีปัจจัย (เงิน) พร้อมแลกเอาความรู้สึกเป็นสุขมา แต่ถ้าเราลองแยกแยะความเป็นจริงโดยใช้สติและปัญญา เราก็จะเข้าใจและรู้จักความพอดี พอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่หลงทางไปกับอำนาจของกิเลสที่จะวนไปวนมาไม่สิ้นสุด
พระอาจารย์ ว.วชิรเมธีกล่าวว่า เราจะบริโภคปัจจัยสี่ด้วยคุณค่า 2 คุณค่า คือ 1.คุณค่าแท้ 2.คุณค่าเทียม คุณค่าแท้ก็คือประโยชน์ที่แท้จริงของสิ่งนั้น ส่วนคุณค่าเทียมคือประโยชน์แฝงของสิ่งนั้น พระพุทธศาสนาสอนให้เราใช้ชีวิตอยู่กับคุณค่าแท้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ยานพาหนะ บ้าน ฯลฯ เช่น เรามีรถ คุณค่าที่แท้จริงของรถ คือใช้เป็นยานพาหนะ ส่วนคุณค่าเทียมของมันก็คือ ยี่ห้อนี้เป็นรุ่นที่เรานั่งแล้วตำรวจไม่กล้าจับ หรือขับแล้วจากที่หน้าตาดูธรรมดาๆ ก็กลายเป็นสวย-หล่อขึ้นมาได้ในสายตาคนอื่น ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่า การใช้ของแบรนด์เนมเป็นเรื่องผิด ใช้ได้ ถ้าเรามีกำลังซื้อและไม่ไปเบียดเบียนใคร แต่การที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกโดยไม่รู้จักการใช้ชีวิต โดยคำนึงถึงประโยชน์หรือคุณค่าที่แท้จริงของทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำให้เราเปลืองเวลา เปลืองพลังงานความคิดไปกับวัตถุจนกระทั่งไม่มีเวลาทำอะไรเลย
ในหลวงของเรา ทรงใช้นาฬิกายี่ห้อใส่แล้วโก้ 40 ปี ท่านไม่เปลี่ยนยี่ห้อ ไม่ใช่ไม่เปลี่ยนเครื่อง แต่ท่านยังใช้ยี่ห้อเดิมตลอด ที่ไม่เปลี่ยนก็เพราะพระองค์เห็นว่า ยี่ห้อนี้ใช้อย่างนี้มันมีประโยชน์มาก ทรงคำนึงถึงประโยชน์เป็นหลัก ไม่ได้ตามแฟชั่น ท่านจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ชีวิตตามความจำเป็น ไม่ใช่ใช้ชีวิตตามความพอใจ
สุขหรือทุกข์ เป็นผลจากสิ่งที่เราสมมติขึ้นมา สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมันก็เป็นของมันอย่างนั้น แต่เราเองต่างหากที่เป็นคนใส่ความรู้สึกลงไป ถ้าสิ่งนั้นหรือเหตุการณ์นั้น เราชอบ เราถูกใจ หรือเป็นไปตามที่คาดหวัง ก็คือความสุข
ในทางกลับกัน เราไม่ชอบ ไม่ได้ดั่งใจ ความทุกข์ก็จะบังเกิดขึ้นในใจเราทันที เพราะฉะนั้น จะสุขหรือทุกข์ เป็นผลจากสิ่งที่เราเลือกมอง เหมือนกระดาษแผ่นใหญ่สีขาวที่มีจุดสีดำๆปรากฎอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นพื้นสีขาว ก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองแต่จุดสีดำๆ หรือพื้นที่สีขาวมากกว่ากัน
No comments:
Post a Comment