Saturday, August 29, 2015

The Buffett Indicator

ช่วงเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนพอสมควร
ปู่ SET เราก็ไม่ยอมน้อยหน้า Correction เบาๆ เหมือนกัน
จากจุดสูงสุด เกือบ 1620 จุด ลงมาแตะแถวๆ 1300 จุด  เมื่อ Mini Black Monday วันที่ 24/8 ที่ผ่านมา

ซึ่งหากจะถามว่า ดัชนี SET แถวๆ นี้น่าลงทุนรึยัง
หากตอบแบบ VI ก็คงต้องบอกว่า เราพิจารณาลงทุนหุ้นเป็นรายบริษัท ดัชนีเดาไม่ออกครับ!

แต่จริงๆ แล้ว การดูดัชนีนั้น Warren Buffett เอง ก็ดูเหมือนกัน!...แต่ไม่ได้ดูกราฟนะ
Indicator หลักๆ ที่ Buffett เคยกล่าวถึง จนถูกตั้งชื่อเป็น The Buffett Indicator ก็คือ Market Cap to GDP
การคำนวณก็ไม่ได้ซับซ้อน โดยการเอา Market Cap หรือ มูลค่าตลาดหลักทรพย์โดยรวม
หารด้วย GDP ของประเทศ

ซึ่งแหล่งข้อมูล สำหรับไทยก็เข้าไปดูได้ตามนี้ครับ
1. Market Cap
2. GDP

หากลองคำนวณดู และทำเป็นกราฟออกมา ก็จะได้ดังรูปข้างล่างนี้
(ใช้ข้อมูล GDP ย้อนหลังละกันนะครับ แต่จริงๆ ตลาดหุ้นปกติจะ มองไปข้างหน้า คือ เดา GDP กัน)

จากกราฟ ก็จะเห็นได้ว่า Ratio Market Cap to GDP ช่วงนี้ก็ไม่นับว่าถูกมาก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะลงทุนคงต้องเน้นเลือกกิจการที่ดี และคุ้มค่าเงินลงทุนเป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังต้องดูเทียบอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอื่นๆ ด้วย
ไม่ว่าจะเป็น การซื้อตราสารหนี้, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์, หรือการทำธุรกิจเอง

ส่งทายนี้
หากท่านใดสนใจ Ratio Market Cap to GDP
คุณ imerlot แห่งเวบ  ThaiVI ก็ Update อยู่เรื่อยๆ  ติดตามกระทู้นี้กันได้ครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=47314&start=150

Thursday, August 27, 2015

ยุคใหม่ของซิงเกอร์ (The New Era of SINGER @Oppday 2Q/15)



Oppday ครั้งแรกของ Singer Thailand หลังจากมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหญ่
กลายมาเป็นบริษัทคนไทยอย่างแท้จริง ทั้ง ผู้ถือหุ้น และ ผู้บริหาร
เลยสรุปมาให้อ่านกันครับ

Overview
- เปลี่ยนแปลง ผถห รายใหญ่ เป็น JMART 25%, SAHAPAT 7%, KBANK 5%, MTLA 2%
- การมี ผถห. รายใหม่ ช่วยเสริม คือ JMART (มือถือ, ติดตามหนี้, จัดแบ่งพื้นที่ให้เช่า) , SAHAPAT (สินค้ามากมายในกลุ่ม FMCG) ใน Q4 จะเห็นการทำธุรกิจร่วมกัน
- การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ปี 2015 ได้เริ่มทำธุรกิจแบบ Direct Payment ขายสินค้า Multi-brand&Multi-product ไม่ต้องใช้คนเก็บเงิน จะทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ สามารถลดความเสี่ยง และแข่งขันกับตลาดได้ ลดราคาขายให้เท่ากับราคาตลาด (ลดต้นทุน SG&A)  
- ระบบการเก็บเงินรูปแบบเดิมยังมีอยู่
- Operation ปรับ Shop โดยเลือกมาจาก 214 สาขา พัฒนาเป็นร้านตู้กระจก เอาสินค้า โทรศัพท์มือถือจาก JMART มาวาง
- Direct payment ทดลองมาแล้ว 2-3 เดือน มีบัญชีประมาณ 200 กว่าบัญชี หลังสิ้นเดือน ตค. ประมาณการ 2,000 บัญชี โดยทดลองใช้ Shop ประมาณ 40 สาขาแรก ปล่อยสินค้าเชิงพาณิชย์พวก Printer ขนาดใหญ่ และตู้หยอดเหรียญให้ Sun108 นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสการทุจริต
- Singer จะเน้นการ Outsource ใช้ Network ขายสินค้าให้พันธมิตร และบริษัทอื่นๆ
- Singer Service Plus เน้นเหมือนเดิม คือ การ Service เน้น Brand ตัวเอง
- สินค้าอื่น ติดต่อ เจ้าของ Brand Service ให้
- ในอนาคตจะเห็น Singer ที่เป็น Holding Company 
- จุดแข็งของ Singer
- ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เน้น ธุรกิจเช่าซื้อ
- น้ำมันราคาลง มีผลบวก สามารถใช้รถเดินตลาดได้ถี่ขึ้น บ่อยขึ้น

ผลประกอบการ
- NPL เหลือ 6.2% คุมได้ดีขึ้น เข้าไปดูบูกค้าเป็นรายๆ (เป้าหมาย ไม่เกิน 7%)

- %การเก็บเงิน ดีขึ้น
- รายได้, กำไร คาดหวังว่าจะดีกว่าปี 2014, growth ได้ในยามที่คนอื่นยังไม่ growth
- Operating Profit Margin ปีนี้ตั้งเป้า 8-9%

กลยุทธ์
- "ลูกธนู 4 ดอก" ใช้สินค้า 4 ตัวเป็น Growth Driver แบ่งไปแต่ละเขตการค้า ทำเป็น Best Practice

1. Petro Vending Machine รุ่นใหม่ ขายดีมาก จะบุกภาคอิสาน
2. Washing Machine (หยอดเหรียญ) เปลี่ยนเครื่องซักผ้าเองเป็นเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์, จะเก็บค่าโฆษณา จากบริษัทขายผงซักฟอก, น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย (กำลังทำเครื่องจำหน่ายผงซักฟอกหยอดเหรียญ)
3. Beverage Cooler
4. CCTV จากกรณีความไม่ปลอดภัยต่างๆที่เกิดขึ้น Demand เสียงสะท้อนจากลูกค้าซิงเกอร์อยากซื้อกล้อง
- "รถแห่" ติดโปรโมชั่นข้างรถ กระตุ้นยอดขาย, ติดป้าย Vinyl หน้าร้านสาขา สัดส่วนการ walk-in เพิ่มจาก 3-4% เป็น 10%, มีแผนจะเอา "รถแห่" ให้บริการกับเจ้าอื่นๆด้วย เช่น ช่วงหาเสียง (Rate ปกติ 800-1,000 บาท/วัน/คัน)
- Shop in Shop ประมาณ 100 สาขา ร่วมกับ JMART
- Direct Payment, Multi-brand&Multi-product (ความฝัน อีก 3 ปีโตอีก 1 เท่าตัว)
- ATVM co. กับ JMART เอาตู้ไปตั้ง เป้าหมายวาง 200 ตู้ ที่ JMART shop, IT junction, mall
- บริการ "เติมเต็ม" น้ำมันแท้ เติมเต็มลิตร ถึงบ้าน -> เป็น Jobber สร้าง Prototype 3 จังหวัด ได้รายได้ Rebate จากการขายน้ำมัน และจะช่วยในการขาย PVM
- POP ทำสัญญา โฆษณากับ TRUE ไปแล้ว จะมี ณเดช ยืนกอดตู้!! ตู้อื่นๆ ก็จะทำด้วย

Comment (คหสต.)
- ยังเน้นจุดแข็งเดิมคือ "กองทัพมด" พนักงานขาย "มืออาชีพ" กว่า 3,400 ท่าน
- ไหนๆ ก็ยุคใหม่แล้ว อยากให้คุณบุญยง และ ผบห. ซื้อหุ้นบริษัทตัวเองเก็บไว้บ้าง จะได้สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน และถือว่าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ใหม่นี้ครับ
- Model ตู้เติมเงินมือถือ (ATVM) ต้องเน้นทำให้ดีๆ สร้างรายได้ให้ทั้ง ลูกค้า และบริษัทได้อีกมาก, ตู้บุญเติมนำหน้าเรื่อง innovation ไปหลายช่วงตัว
- เอาพัดลมแบบ Evaporative Cooler มาขายบ้าง(ติดตราซิงเกอร์) น่าจะขายดีนะครับ (ขายพ่วงแอร์เลยมะ)

สำหรับ Singer Fan Club ก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดนะครับ 

น่าจะมีอะไรดีๆ ให้เห็นอีกมาก

Thursday, August 20, 2015

Key Investing Variables : กลุ่มประกันวินาศภัย (P/C Insurance)

1) สถานะทางการเงิน
- ปริมาณ Float ที่มี เทียบ Market Capitalization
- CAR Ratio

2) ความสามารถในการควบคุมต้นทุนการรับประกันภัย
- Combined Ratio เป็นอย่างไร
- Expenses Ratio ต่ำสุดในอุตสาหกรรมหรือไม่
- Loss Ratio เป็นอย่างไร
- เน้นเบี้ยประกันภัยหมวดไหน

3) ความสามารถในการนำเบี้ยประกันไปลงทุน
- แนวทางในการลงทุนของผู้บริหารเป็นอย่างไร
- ผลงาน ROI ในอดีตเป็นอย่างไร

Tuesday, August 18, 2015

I will Beat this GMAT!

ปีหน้าจะไปเรียน MBA ให้ได้!
แต่ตอนนี้ดูเหมือนมีกำแพง GMAT มาขวาง
สอบไปหลายรอบ เสียอัฐไปหลายอยู่ คะแนนก็ยังไม่ถึงเป้าสักที

ตั้งแต่จำความได้ ผมคิดว่า GMAT ข้อสอบที่ยากที่สุดอันหนึ่ง
ใครที่เคยสอบ GMAT คงรู้ถึงความกวนขอข้อสอบ
โดย GMAT นั้น เป็นข้อสอบในที่ใช้ระบบ CAT - Computer Adaptive Test
คือ ถ้าทำข้อสอบถูก ระบบจะทำการ Random ข้อสอบที่มีความยาก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาให้ทำ
และข้อสอบข้อแรกๆ สำคัญมากๆ หากผิดข้อแรกๆ ต่อเนื่อง
จะพบว่า ทำไมข้อสอบ ข้อหลังๆ มันง่ายจัง
นั่นคือ คุณตอบผิดเยอะ มันเลยง่ายไง คะแนนจะแย่แน่นอน ต้องกลับบ้านไป "ร้องไห้หนักมาก"

ซึ่ง GMAT นั้น
ส่วนใหญ่ สายวิทย์ แบบผม จะต้องเผชิญปัญหา Part Verbal (หรือภาษาอังกฤษ นั่นเอง)
Verbal แบ่งเป็น
1) Sentence Correction (SC) : ประมาณข้อสอบ Grammar ขีดเส้นใต้ข้อความในโจทย์ แล้วหาจุดผิด
2) Critical Reasoning (CR) : ข้อสอบแนววิเคราะห์ เหตุ-ผล, หา Assumption, หาเหตุผลมาเสริม/หักล้าง
3) Reading Comprehension (RC) : ตรงตัวเลย อ่าน Passage แล้วตอบคำถาม แต่แบบว่า เนื้อหามันอ่านยาก และไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ (อ่านคำตอบในโจทย์ บางทีแปลไม่ออก -,-'''

โดยคะแนนล่าสุดของผมก็คือ 640 => Q = 49 / V= 28 (โง่จังนิ ;p)
และล่าสุดทำ Test แบบเร็วๆ ก็ได้เท่าเดิม 640 (แหม คงเส้นคงวา)
แต่คะแนนเปลี่ยนไปหน่อย Q = 47 (คิดไม่ออกกดผ่าน), V = 32 (ดีขึ้น ;p)

สำหรับ เป้าหมาย คือต้อง > 700 คะแนน แต่เผื่อ Safety Factor ไว้ 720 ละกัน
จากตารางคะแนน มีกลยุทธ์ คือ
1) Q - Quantitative แย่สุดไม่ต่ำกว่า 49 (88%)
2) V - Verbal ไม่ต่ำกว่า 39 (83%)

ที่มา : http://gmatclub.com/forum/gmat-score-translation-table-121864.html

เหลือ เวลาอีกประมาณ 1 เดือน นิดๆ ขอฮึดเฮือกสุดท้าย
ถ้าเป็น ศิลปิน ก็เหมือน last stroke เพื่อจบชิ้นงาน

ทีนี้ก็ต้องวาง กลยุทธ์ กันหน่อย
คิดภาพเหมือนเรือที่กำลังรั่วอยู่ คงต้องหาทางอุดน้ำในเรือก่อนจะไปทำอย่างอื่น
ให้วิดน้ำออก คือ อ่านมันทุกอย่างคงทำไม่ไหวแหงๆ
ดังนั้นต้องรีบแก้ไจ จุดอ่อน โดย ด่วนที่สุด!!

ที่ต้อง Focus ใน 1 เดือนนี้ ก็คือ
1. SC อันนี้ คงต้องหาวิธี ที่เหมาะกับ Style เราให้ได้ แบบว่า Grammar ย่ำแย่จริงๆ
2. Perfect Part Quantitative : Word Problem, Rate, LCM/GCD
3.  ห้ามทำข้อสอบ 2 ข้อแรก ผิด (ผิดประจำ ไม่รู้เป็นอะไร แบบว่าเสียกำลังใจ)

สู้ๆๆๆ

เขียนเมื่อวันที่ 18/8/15
สอบวันที่ 25/9/15


Sunday, August 16, 2015

หุ้นค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง

ช่วงนี้สนใจหุ้นกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างครับ
เนื่องมาจาก
1) เศรษฐกิจดูซึมๆ
2) ราคาหุ้นกลุ่มนี้ ลงมาจาก Peak พอสมควร (ประมาณ 50%)
3) โอกาส ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยง CLMV และ AEC

ซึ่งกลุ่มนี้ ในตลาดก็มีไม่กี่บริษัท (น่าจะแค่ 2 บริษัท) เอาข้อมูล ต่างๆแปะไว้ก่อนละกันครับ
1) HMPRO
- บันทึก Oppday 2Q/15

2) GLOBAL
- บันทึก 9 ภาค โดยคุณ VI Hybrid
Part1
Part2
Part3
Part4
Part5
Part6
Part7
Part8
Part9
คนรวยหน้าใหม่
http://www.mbamagazine.net/index.php/entrepreneur/1814-siam-global-house

จุดประสงค์อันดับ 1 ของเป้าหมาย*ไม่ใช่*การได้ไปถึง...บัณฑิต อึ้งรังษี


ใช่ครับ คุณอ่านถูกแล้ว

เป้าหมาย ไม่ได้มีไว้แค่ไปถึง

การบรรลุเป้าหมาย ก็เป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่จุดประสงค์อันดับ 1

ถ้าคุณเก็ทและปฏิบัติเคล็ดลับนี้ คุณกำลังก้าวไปสู่ระดับ Master

และคุณจะมี surprise ตลอดเวลา ว่าคุณ "ได้เกิน หรือ ดีกว่า"ที่ตั้งเป้าไว้ตอนแร

ทำไม? อะไร? ยังไง?

--------------------

จุดประสงค์อันดับ 1 ของเป้าหมาย คือดังนี้ จำไว้ดีๆนะครับ

*เป้าหมายต่างๆ มีไว้เพื่อ "เปลี่ยนคุณให้เก่งขึ้นดีขึ้น"
ในระหว่างที่คุณไล่ล่าเป้าหมายนั้น*

เน้นนะครับ ...

มันมีเพื่อ "เปลี่ยนคุณ"

เรื่องนี้ คอนเฟิร์มโดยบุคคลสำเร็จระดับตำนาน หลายท่าน

การทำเป้าหมายได้สำเร็จ ก่อให้เกิดความสุขชั่วขณะ

แล้วสมองคุณก็จะบอกว่า...

"มีแค่นี้เองหรือ แล้วไงต่ออ่ะ?"

ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายใหม่ ที่ท้าทาย และ "ยืดตัวเราเพิ่ม"
เราก็จะเบื่อ และอาจมองชีวิตไร้ความหมาย

เรื่องเกิดขึ้นกับคนมากมาย ที่สำเร็จสูงตอนอายุยังน้อย
นักกีฬาโอลิมปิกหลายคน ใช้ชีวิตที่เหลือแบบเบื่อๆ

ฉะนั้น สรุป…

การบรรลุเป้าหมาย ให้ความสุขคุณชั่วขณะ

แล้วอะไรล่ะ ให้ความสุขยั่งยืนกว่า...

นักวิทยาศาสตร์หลายแห่ง รวมทั้งของมหา'ลัย ฮาร์เวิร์ด บอกว่าคือ

PROGRESS

คือ
มนุษย์ต้องรุ้สึกว่า เขา*ก้าวหน้าอยู่*จึงจะมีความสุข

ก็คือ

การรู้สึกว่าตัวเอง "เก่งขึ้นดีขึ้น"ทุกๆวัน นั่นเอง

-----------------------

สรุปนะครับ

ตั้งเป้าหมายเสร็จแล้ว
จงปล่อยวาง

โฟกัส 100% ไปที่เหตุ หรือ การได้ทำอย่างเต็มที่ สุดฝีมือ
ผลลัพธ์ จะดูแลตัวมันเอง
ปล่อยวางผลลัพธ์ อย่ามัวแต่ห่วงรางวัล จนลืมสนุกกับการเดินทาง

การที่เราตระหนักว่า จุดประสงค์หลักของการตั้งเป้าหมาย
ไม่ใช่การได้มา
แต่มันคือ การได้ดีขึ้นเก่งขึ้น
และการได้มีประสบการณ์การเดินทางที่น่าสนุก

แค่นี้ก็ช่วยในการปล่อยวางได้แล้ว
(บอกซะก่อน คำว่า "ปล่อยวาง" คนเข้าใจผิดกันเยอะมาก
มิใช่การ ปลง ไม่พยายามต่อ ไม่ทำเต็มที่นะครับ
แค่ไม่ยึดติดกับผลลัพธ์เท่านั้นเอง)

และผมจะบอกสุดยอด secret ของนักกีฬาโอลิมปิก หรือนักแข่งขันดนตรีระดับโลก หรือ ผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกใดๆก็ตาม

ก็คือ การปล่อยวางผลลัพธ์
และ enjoy การได้ทำอย่างสุดฝีมือ

ลองดูนะครับ เป็นกำลังใจให้คุณ

ด้วยความรัก

บัณฑิต อึ้งรังษี

Saturday, August 15, 2015

รีวิว : ประสบการณ์ ใช้บริการ Airbnb ครั้งแรก @ New York

ทริปนิวยอร์ค รอบที่ผ่านมา มีโอกาสได้ใช้บริการ Airbnb เป็นครั้งแรก
ทำให้พบว่านี่เราไปงม อยู่ที่ไหน ทำไมถึงพึ่งรู้จักที่พักดีๆ ราคามิตรภาพแบบนี้นะเนี่ย

โดย Airbnb เป็นบริการแชร์ที่พัก ที่ผู้ที่มีห้องว่าง หรือบ้านว่างๆ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวเช่าอยู่
ราคาก็แล้วแต่ผู้ให้เช่ากำหนด อาจมีค่าบริการอื่นๆ เช่น บริการทำความสะอาด ก็แล้วแต่ผู้ให้เช่า
ซึ่งห้องที่ผมไปพัก อยู่ในอพาร์ทเมนต์ แถว Brooklyn 
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในย่าน downtown อย่าง Manhattan ก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ
เพราะว่าอพาร์ทเมนต์ อยู่ใกล้รถไฟใต้ดินแบบเดินชิวๆ
นั่งรถไฟใต้ดินประมาณ 30 นาที ก็ถึงย่าน wallstreet ละ
แถมรถไฟใต้ดินที่นี่ยังบริการ 24 ชม ด้วย
แต่จุดแข็งที่สำคัญก็คือ ราคาห้อง ที่ "มิตรภาพ" มากๆ คือ ราคาเพียง 55 USD/คืน เท่านั้น
หากเทียบที่พักที่เป็นโรงแรม 2 ดาว ก็ ราคา ประมาณ 100 USD++
หรือหากเทียบ โรงแรม Marrriott ละก็ ราคา 300 USD++
ไปดูห้องพักกันหน่อย...


ห้องรับแขก ใหญ่มาก แต่ไม่มีใครใช้เลย
เพราะ เจ้าของเก็บตัวมักๆ อยู่แต่ในห้องตัวเอง เราก็ยึดซะเลย


มีพวกหัวชาร์จต่างๆ, โทรศัพท์ (เจ้าของบอกใช้ได้), Discount coupon, ฯลฯ


ห้องครัว ใช้ได้ ตามอัธยาศัย จะต้มจะแกงก็ตามสะดวก (ต้มมาม่ากินซะ ประหยัดๆ)

ห้องนอน ลืมถ่ายรูปไว้ เพราะโยนของกระเป๋าเข้าไปรัวๆ
เอารูปจาก Website ละกัน


ห้องน้ำ ตกแต่งเก๋ๆ อุปกรณ์อาบน้ำครบครัน (มีแม้กระทั่ง ไม้ปั่นหู)
เตรียมแปรงสีฟัน กับยาสีฟัน มาก็พอ


อื่นๆ ลืมถ่ายรูปมา ก็พวก ไดร์เป่าผม เตารีด ใช้ได้ฟรีทุกอย่าง!
wifi ก็ฟรี ความเร็วใช้ได้ ประมาณเนตทรู 10 MB

บรรยากาศโดยรอบที่พัก



ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ สำหรับ Airbnb
และในฐานะที่เป็นนักลงทุน ก็ถือโอกาส ศึกษาธุรกิจ Airbnb ไปด้วยซะเลย

บริษัท Airbnb ก่อตั้งมาไม่นาน เริ่มปี 2007
 แต่ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากๆ!!!
Timeline พัฒนาการ ของบริษัทก็ตามรูปข้างล่างนี้

ปัจจุบัน Airbnb ยังไม่ได้ Public ในตลาดหลักทรัพย์นะจ๊ะ
(นักลงทุนทั่วๆไป ก็รอซื้อแพงๆ ละกัน)
แต่ล่าสุดเมื่อนเดือน June 2015 ที่ผ่านมา ได้มีการระดมทุนให้ Airbnb รอบใหม่
ทำให้ Valuation ของบริษัทพุ่งมากกว่า 24 Billion USD (ประมาณ 840,000 ล้านบาท)!!!
ซึ่งทำให้มูลค่ากิจการของ Airbnb แซงหน้า Mariott(MAR) ที่มีมูลค่ากิจการ 19.1 Billion USD ไปเรียบร้อย
ที่มา http://www.foxbusiness.com/technology/2015/06/22/is-airbnb-best-lodging-stay/

Airbnb นั้นเป็นตัวอย่างของ ธุรกิจประเภท Sharing Economy แห่งทศวรรษที่ 21 นี้
อื่นๆ ที่ดังอยู่ในไทยตอนนี้ก็พวก uber (เอารถส่วนตัวมาให้บริการแท็กซี่)
หรือที่ดังมาซักพักแล้วอย่าง e-bay (ประมูลสินค้า online)
ทั้งหมดนี้หากจะกล่าวว่า เกิดขึ้นมาได้เพราะ Internet Boom ก็คงไม่ผิด

ดังนั้นเราคงต้องเตรียมตัวเข้าสู่ยุค Internet of Things กันแล้วนะครับ....สวัสดี

Wednesday, August 5, 2015

ลองลงทุนหุ้นมะกัน

ผมกำลังจะได้มีโอกาสไปเหยียบแผ่นดินอเมริกาเป็นครั้งแรก!
จุดมุ่งหมายแรกที่จะไปก็คือ มหานครนิวยอร์ค
ศูนย์กลางทางการเงินของโลกยุคปัจจุบัน
และเป็นแหล่งที่ตั้งของ Wallstreet ด้วย
(ยังไงต้องไปถ่ายรูปกับ Charging Bull แก้เคล็ด ซะหน่อย ไป ตปท ทีไร หุ้นลงกระจาย)

พูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา ก็นับว่าเป็นแหล่งรวมหุ้นมากมายมหาศาล
ในฐานะที่เป็นนักลงทุน เน้นลงทุนในประเทศอย่างเดียวมาได้ 5 ปีละ
แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานมากไปหน่อย และปู่เซต ก็แพงขึ้นมาเรื่อยๆ
เริ่มหาหุ้นลงทุนยากละ....
เลยลองไปด้อมๆ มองๆ ตลาดหุ้นอเมริการดูหน่อยดีกว่า
ว่าแล้วก็เริ่มตาม Style Bottom up ตามฟอร์มเดิม คือการร่อนๆๆ หุ้นออกมา
ทีนี้ด้วยความไม่คุ้นเคย ก็ลอง Search google ดูว่ามี website ไหนน่าสนใจช่วยร่อนหุ้นได้บ้าง
ก็ไปเจอ website นี้ครับ http://finviz.com
ข้อดี คือ 
1.ฟรี
2. มี screen criteria เยอะมากๆ
3. มี virtual portfolio ด้วย...น่าสนใจแฮะ

ว่าแล้วใส่ Screen ต่างๆ เข้าไป (ตามจินตนาการ) ได้ดังภาพ

มีใส่เงื่อนไขเพิ่มอีกนิดหน่อย (จำไม่ได้ละ น่าจะเป็น Market Cap)
ก็ได้ portfolio ออกมาดังรูปข้างล่างนี้
โดย มีให้กด เฉลี่ยเงินลงทุนเท่าๆกันด้วย ก็เลยลองกดเล่นไปซะเลย
ผ่านไป 2 วัน ผลออกมายังไงไปดูกันครับ

ผลก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน....
มีทั้งวิ่ง 20% และ ติดลบ 20%
หากทุ่มตัวใดตัวหนึ่ง คงรุ่ง หรือไม่ก็ริ่ง ไปเลย
นี่มันอัลไลกัน หุ้นมะกัน นี่ดู swing ยิ่งกว่าปู่เซต นะครับ
ส่วนตัวคงศึกษาเก็บความรู้ไปเรื่อยๆ
เผื่อมีโอกาสไปอยู่อเมริกา คงได้เริ่มลงทุนครับ
ไว้มา update กันใหม่นะครับ

Tuesday, August 4, 2015

ตลาดหุ้นไทย

ที่มา Facebook : Banyong Pongpanich
 June 6, 2013

หุ้นตกหนัก มีคนบ่นว่าไอ้ฝรั่งมันขายตั้ง 33,000 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีผมบอกว่าเค้าซื้อตั้ง 1,200,000 ล้านแน่ะ (แต่ขาย 1,530,000ล้าน)
คนชอบคิดว่าฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน พร้อมๆกันเล่นเป็นรอบๆเหมือนคนไทย เลยจะขอเล่าถึงโครงสร้างตลาดหุ้นไทย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่รักจะเป็นนักเสี่ยงโชคบ้าง
ตลาดไทยมีขนาดรวม 13 ล้านล้านบาท (ที่ระดับราคาปัจจุบัน). เป็นส่วนFreeFloat ประมาณ 6 ล้านล้าน ซึ่งจะอยู่ในมือของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ(ที่เราเรียกรวมว่าฝรั่ง) 60% (ประมาณ 3.6 ล้านล้านหรือ $120 billion) โดยจะมีลักษณะและพฤติกรรมดังนี้
-ส่วนใหญ่เป็น long term Investor มี Hedge fund น้อยในตลาดไทย
-มีรวมประมาณ 120 ผู้จัดการกองทุน
-บลจ.ใหญ่ๆ เช่น Genesis, Templeton, Capital, Fidelity, Aberdeen แต่ละบริษัทมีหุ้นไทยอยู่มากกว่า 5 $billion (150,000ล้านบาท)
-ลงทุนโดยใช้ fundamental เป็นหลัก
->95% ของเงินลงทุนอยู่ใน SET100 (แต่ไม่ใช่ทุกตัวนะ)
-turnoverประมาณ 1.5 ปีต่อรอบ(เช่น ถ้า port 100,000 ล้าน ก็จะซื้อขายแค่ 70,000 ล้าน ในหนึ่งปี
-พิจารณาการลงทุนโดยเทียบกับตลาดและบริษัททั่วโลก
กลุ่มที่2 เป็นนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งถือครองอยู่ประมาณ18% (1.1ล้านๆ) อันได้แก่กองทุนรวม กบข. ประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ฯลฯ (ไม่นับรวมวายุภักษ์เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยเป็นนกมั๊ง). พวกนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกับพวกฝรั่งเกือบทุกอย่างยกเว้นข้อสุดท้ายแม้ คุณภาพจะด้อยกว่าบ้าง(นอกจากบลจ. เล็กๆหวือหวาไม่กี่แห่ง)
กลุ่มที่3 คือนักลงทุนบุคคลไทยซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% (1.2ล้านๆ) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองพวกคือพวกที่ไม่ได้ซื้อขายมากกับนักเล่นหุ้นที่ซื้อขาย บ่อยทุกสัปดาห์และส่วนใหญ่มี leverage สูงซึ่งผมประมาณว่ามีสัดส่วนถือครอง 60:40 (ตรงนี้เป็นguesstimate ไม่เหมือนตัวเลขอื่นที่เป็นfact). พวกหลังส่วนใหญ่ซื้อขายมากกว่าปีละ 10 รอบ และมักไม่มีศักยภาพพอที่จะลงทุนแบบ fundamental จริงจังได้แต่ "ตามๆเขาไป" มีบัญชีอยู่กว่า 500,000 บัญชี กลุ่มนี้ทำวอลุ่มซื้อขาย 60%. ทั้งๆที่ถือครองแค่ไม่ถึง10%
กลุ่มสุดท้ายคือ port ของบล. ซึ่งถืออยู่2-3% มีหลายประเภทแต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เหมือน Hedge Fund
หันมาทางด้าน Supply บ้าง เรามี บ.จดทะเบียนกว่า 600 บริษัท แต่ SET100 มีขนาดรวมกัน 87%. ในอดีต 5-6 ปีที่แล้ว หุ้น SET100 ซื้อขายกันแค่ 65% ของวอลุ่มทั้งหมด แล้วก็ปรับปรุงขึ้นจนเป็น 75% ในปี 2011 อย่างที่บอกแล้วว่านักลงทุนสถาบันเขาไม่ลงทุนนอกSET100. ดังนั้น มีแต่รายย่อยลงทุนซึ่งสักพักเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าการ "ตามเสี่ย ตามเจ๊" มักจะหมดตัวเลยหันไปตามฝรั่ง แต่ในสองไตรมาส หลังวอลุ่มหุ้นนอก SET100 เพิ่มเป็นเกือบ 40% อีกแล้ว แปลว่าเริ่มกลับไป "ตามเสี่ย ตามเจ๊" ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น"วี ไอ". ตลท. ภูมิใจว่าตลาดไทยมีสภาพคล่องเพราะนักลงทุนบุคคลซื้อขาย 2/3 แถมหุ้นเล็กมีสภาพคล่อง แต่ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีแค่ 2 ตลาดในโลกเองที่บุคคลซื้อขาย > สถาบัน แถมที่ว่ามีสภาพคล่องก็ทีละไม่เกิน 20 หุ้นจากหุ้นเล็กกว่า 500 (เฉพาะที่เขากำลัง"ทำ")
เล่ามายืดยาวขอสรุปเลยดีกว่า
1) ตลาดไทยมี 2 ตลาด. คือหุ้นใหญ่ที่ lead โดยนักลงทุนสถาบันคุณภาพ เป็น fundamental led กับ globalize. กับหุ้นเล็กที่ lead โดย"นักทำ"เป็น?
2) ภาวะตลาดไทยผูกติดกับภาวะตลาดโลกอย่างๆไม่มีทางจะแยกได้แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าถ้าฝรั่งขายเกิน 10% (360,000ล้าน). เราก็จะเห็น Index 600 แล้วมันก็จะหยุดขายไปเอง
3) ในภาวะที่ตลาดขึ้นต่อเนื่องอย่าง 2 ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเอง"โคตรเก่ง" ลงอะไรก็รวย (เขาเรียกว่ายุค"ปาลูกดอก") และนักทำทั้งหลายก็จะออกอาละวาด
4) ในชีวิต 36 ปีในตลากหุ้นของผม. ไม่เคยเห็น "การปั่นหุ้นการกุศล". มีแต่ปั่นไปเพื่อเชือดเท่านั้นถ้าอยากเล่นหุ้นปั่นต้องถือคติ "เกาะถูก โดดทัน" กับสวดมนต์ลูกเดียว
5) ตั้งแต่ผมหมดตัวเมื่อยุค "ราชาเงินทุน" 34 ปีที่แล้วก็ไม่เคยเล่นหุ้นอีกเลย แต่เอาเงินไปให้ Asset Management จัดการแล้วก็รวยดีมาจนทุกวันนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี รำ่รวยกันทั่วหน้า แต่ถ้าอยากชัวร์ก็รีบมาเปิดบัญชีกับ บล.ภัทรนะครับ

Sunday, August 2, 2015

เรียน Excel ขั้นเทพ กับ Website SkillLane

"พระเจ้าจอร์จ...มันยอดมาก"
ต้องอุทานด้วยคำนี้เลยทีเดียว สำหรับคอร์สเรียน Excel ขั้นเทพ
นอกจากคนสอนน่ารัก เอ้ย สอนดีมีความรู้แล้ว
คอร์สนี้ยังฟรีอีกต่างหาก
ใครที่ต้องใช้ Excel ในการทำงานเป็นประจำ
และอยากจะพัฒนาทักษะการใช้ Excel ให้เทพขึ้นไปอีกระดับ
ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครั้บ

พร้อมแล้ว ก็ไปเรียนกันแบบฟรีๆ ได้เลย!
https://www.skilllane.com/courses/excel


นอกจากคอร์ส Excel แล้ว Website SkillLane นี้
ถือเป็นแหล่งรวมวิชาความรู้แบบ e-learning ที่เจ๋งมากๆ
มีวิชาอื่นๆ ทั้งเรื่อง การลงทุนทั้งสาย Fundamental และ Technical
หรือเรื่อง เทคนิคการใช้โปรแกรมแต่งภาพ Lightroom ที่กำลังฮิต ในตอนนี้
ซึ่งแต่ละวิชา ก็มีทั้งเรียนฟรี และต้องจ่ายเงินเรียนนะครับ

บางคนที่ชอบหาความรู้แบบ e-learning
ก็อาจคุ้นๆกับพวก https://www.khanacademy.org/ หรือ https://www.coursera.org/
ซึ่งคนไทยเราก็ทำได้ดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว

ขอให้ SkillLane ขยายจำนวนวิชาออกไปเรื่อยๆ นะครับ จะเป็นประโยชน์มากๆ
แลหากใคร สนใจอ่านประวัติความเป็นมาของ SkillLane
ก็ไปตามอ่านกันได้เลยครับที่ link ข้างล่างนี้ กันได้เลยครับ
http://www.theceoblogger.com/ceo-1507003-2/