ผมเป็นคนชอบดูกีฬาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอล ถึงปัจจุบันแม้มีเวลาน้อยลงแต่ก็ยังต้องหาเวลาดูฟุตบอลให้ได้ทุกสัปดาห์ แต่ผมเองก็ยังคิดว่าบางทีการดูกีฬาก็มีข้อเสียตรงที่ หากทีมที่เราเชียร์นั้นชนะเราก็ดีใจตามเรื่องตามราว เมื่อทีมที่เราเชียร์แพ้ หรือเสมอในนัดที่ไม่ควรเสมอ ก็มักจะรู้สึกเซ็งเมื่อดูจบ จนรู้สึกว่าจริงๆ การดูกีฬาอาจจะมีข้อเสียเหมือนกันคือสร้างความผิดหวังให้กับเราในหลายๆ ครั้ง แต่ผมคิดว่ารวมๆ แล้วการดูกีฬาก็ให้ข้อคิดหลายๆ อย่างเหมือนกันจึงทำให้ผมรู้สึกว่าการดูกีฬานั้นแม้จะผิดหวังบ่อยๆ แต่ก็สอนอะไรเราได้หลายๆ อย่างครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยในการแข่งขันกีฬาประเภทฟุตบอล หรือประเภทอื่นๆ เช่น เทนนิส ก็คือ การถูกฝ่ายตรงข้ามบีบให้เราเล่นในเกมที่ตนเองไม่ถนัด เช่น ทีมที่ถนัดการเล่นบอลช้า เน้นการจ่ายบอลแม่นตามช่อง อาจจะถูกคู่แข่งเล่นเกมบีบพื้น ประกบตัวเร็ว จึงทำให้ทีมเราต้องจ่ายบอลเร็วหรือต้องเล่นลูกโยนและเสียบอลในที่สุด ทีมที่นักเตะไม่ถนัดลูกโหม่งก็จะถูกคู่แข่งที่ถนัดการเล่นลูกกลางอากาศในลูกโหม่งโจมตีและเอาชนะได้บ่อยๆ เช่น ทีมอาร์เซนอลที่ไม่ถนัดลูกกลางอากาศมักจะแพ้หรือทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนักกับการเจอทีมที่ถนัดลูกโด่งอย่างโบลตัน แม้กระทั่งการแข่งขันเทนนิสที่คู่แข่งขันมักจะตีลูกไปยังด้านที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ถนัด เป็นต้น
ดังนั้นหากเราย้อนมามองเรื่องการลงทุน จะเห็นว่า นักลงทุนแต่ละคนมีความถนัด หรือสไตล์การลงทุนต่างกัน ซึ่งบางครั้งความถนัดอย่างหนึ่งอาจจะทำเงินได้ดีในตลาดบางช่วง แต่สร้างผลงานได้ไม่ดีนักในตลาดบางช่วง อย่างเช่น นักลงทุนที่ลงทุนแบบกล้าได้กล้าเสีย เน้นการเก็งกำไรแบบมีหลักการ นักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะไม่เน้นการวิเคราะห์พื้นฐานเท่า value investor แต่อาจจะมีหลักการต่างๆ เข้ามาประกอบการซื้อขาย เช่น การดูกราฟ การดู volume การดูการเข้าซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ หรือการเข้าซื้อธุรกิจที่ผ่านการฟื้นฟูกิจการ หรือมีข่าวต่างๆ ที่มีผลดีต่อราคาหุ้น จุดเด่นอย่างหนึ่งและเป็นสิ่งที่ถนัดของนักลงทุนประเภทเก็งกำไรแบบมีหลักการคือ การมีจิตใจที่มั่นคงและพร้อมกล้าตัดสินใจในการซื้อขายอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด จึงทำให้สามารถสร้างกำไรในหุ้นบางตัวได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และกล้าที่จะ cut loss ได้ก่อนที่พอร์ตจะเสียหาย นักลงทุนประเภทนี้จะประสบความสำเร็จในช่วงตลาดขาขึ้น เช่น ปี 2542 หรือปี 2546 และจะไม่เสียหายมากนักในตลาดขาลง นักลงทุนประเภทเก็งกำไรแบบมีหลักการเหล่านี้มักจะมีหลักเสมอว่าหากตลาดขาลงจะหยุดเล่นหุ้น คือจะถือเงินสดหรือถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อย จะไม่พยายามเก็งกำไรในช่วงตลาดขาลงหรือซบเซามากนัก และพร้อมจะกลับมาทุกเมื่อหากตลาดเป็นขาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงที่เป็นตลาดขาขึ้น นักลงทุนประเภทเก็งกำไรแบบมีหลักการจะสามารถสร้างผลกำไรได้มากพอที่จะออกนอกตลาดไปได้อีกระยะใหญ่ๆ
แต่ก็มีนักลงทุนแบบเก็งกำไรที่เป็นรายย่อยจำนวนมาก ที่ทำตรงกันข้ามกับนักเก็งกำไรที่มีหลักการ ก็คือ การพยายามเก็งกำไรในทุกๆ ภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ด้วยเหตุผลว่า หาค่าขนม หรือค่ากับข้าว โดยเวลากำไรก็จะกำไรเล็กน้อย แต่หากพลาดพลั้งขาดทุนมักจะขาดทุนทีละมากๆ คือ เวลาได้ก็ได้ค่าขนมจริงๆ แต่พอเสียก็อาจจะเสียเงินรถเก๋งเป็นครึ่งคันหรือคันหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเหล่านี้ก็จะประสบภาวะขาดทุนสะสมเรื้อรังมาเรื่อยๆ จนมูลค่าพอร์ตลดลงอย่างน่าตกใจ
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ นักลงทุนแบบเก็งกำไรที่มีหลักการ จะพยายามเล่นในเกมที่ตนเองถนัดเท่านั้นก็คือ การลงทุนในตลาดขาขึ้น และหลีกเลี่ยงเกมที่ตนเองไม่ถนัด คือการลงทุนในตลาดขาลงหรือซบเซา ซึ่งถือว่ามีสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงทุนซึ่งก็คือ วินัยการลงทุน คือ ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด แต่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากพยายามฝืนตลาดด้วยการเข้าไปเก็งกำไรในช่วงตลาดไม่ดีโดยหวังกำไรเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าเล่นเกมไม่ถนัด
สำหรับนักลงทุนแบบ Value investor ผมคิดว่าความถนัดของ VI ก็คือการวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทเพื่อให้สามารถคาดการณ์ผลประกอบการและเงินปันผลในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่มีผลตอบแทนของการลงทุน ซึ่งก็พบว่าในบางปีที่ตลาดเป็นตลาดกระทิง นักลงทุนแบบ VI อาจจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยกว่านักลงทุนแบบเก็งกำไรทั้งที่มีหลักการและไม่มีหลักการ จึงทำให้นักลงทุนแบบ VI บางคนทนความเย้ายวนของผลตอบแทนของหุ้นเก็งกำไรหรือผลตอบแทนของเพื่อนๆ นักลงทุนที่ลงทุนแบบเก็งกำไรไม่ได้ และหันมาเล่น “ เกมที่ไม่ถนัด ” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นเก็งกำไร หรือหุ้นที่มีข่าวต่างๆ นานา ด้วยหวังว่าจะทำกำไรมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งช่วงแรกๆ อาจจะได้กำไรที่ดี แต่ท้ายสุดแล้ว VI หลายคนที่โดดเข้าไปเล่นเกมที่ตนเองไม่ถนัดก็ได้รับผลตอบแทนในการลงทุนที่ไม่สู้ดีนัก
อีกเหตุการณ์ที่ทำให้ VI หันไปเล่นเกมที่ไม่ถนัดก็คือ นักลงทุนแบบ VI แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มธุรกิจที่ต่างกัน บางคนเชี่ยวชาญด้านหุ้นการผลิตอุตสาหกรรม บางคนเชี่ยวชาญด้านพลังงาน บางคนเชี่ยวชาญด้านหุ้นโรงเรือน เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ค้าปลีก บางคนเชี่ยวชาญอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นวัฎจักรต่างๆ เป็นต้น หลายๆ ช่วงเวลาที่หุ้นที่ตนเองเชี่ยวชาญอาจจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่น่าลงทุน เช่น ราคาหุ้นมี p/e แพงเกินไปแล้ว หรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้ VI อาจจะไม่สามารถใช้ความถนัดของตนเองในการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ตนเองถนัดได้ จึงหันไปเล่นเกมที่ไม่ถนัดด้วยการพยายามหาหุ้นในกลุ่มที่ตนเองไม่เคยสนใจหรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และอาจจะพยายามใช้หลักของ VI เข้าไปบางส่วนเช่น ดู p/e p/bv ต่ำๆ แต่ไม่สามารถศึกษาลงไปลึกในรายละเอียดได้อยากแตกฉาน ซึ่งท้ายสุดแล้วก็จะได้หุ้นที่เราอาจจะไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง และมีโอกาสสูงที่ผลประกอบการ และผลตอบแทนการลงทุนอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง
ดังนั้นสำหรับ VI บางครั้งหากเราอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถหาหุ้นใหม่ๆ ที่น่าสนใจได้จริงๆ เราควรจะรอจังหวะและโอกาสที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต มากกว่าที่จะไปเล่นในเกมที่ตนเองไม่ถนัด ด้วยการหาหุ้นแปลกใหม่ที่เราอาจจะไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงเข้ามาในพอร์ตครับ
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรทำก็คือ การหาความถนัดของเราเองเพื่อให้รู้ว่าเราควรจะมี style การลงทุนแบบใด เพราะหาก style ไม่เหมาะกับความถนัดโอกาสประสบความสำเร็จก็จะน้อย เปรียบเหมือนทีมฟุตบอลที่กองหน้าตัวเล็กแต่เพื่อนโยนบอลให้โหม่งลูกเดียว นอกจากนี้ เราจึงต้องหาโอกาสเพิ่มความถนัดของตัวเราด้วยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และลดความไม่ถนัดในบางเรื่องที่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น หากเราเป็น VI แต่ไม่ถนัดการอ่านงบการเงินและวิเคราะห์กระแสเงินสด ถือว่าเป็นความไม่ถนัดที่ควรจะได้รับการแก้ไขให้ได้โดยเร็วเพราะถือว่าเป็นจุดที่นักลงทุนแบบ VI ควรจะทำได้ครับ หรือหากเรารักจะเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรแต่ไม่สามารถอ่านทิศทางตลาดหรือราคาหุ้นได้จากการดูกราฟ volume หรือเครื่องมือต่างๆ หรือไม่สามารถมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาด เราก็จะอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบอย่างมากครับ
แต่หากเมื่อเราดูความถนัดต่างๆ แล้ว พบว่าเราไม่มีความถนัดมากพอที่จะลงทุนในหุ้นไม่ว่าจะเป็นแบบเก็งกำไร VS หรือ VI แล้ว ผมคิดว่าเราควรจะอยู่วงนอกศึกษาหาความรู้และความถนัดเสียก่อน ยังไม่ควรเข้ามาลงทุนทันที หรือหากต้องการลงทุนเพื่อศึกษาหาประสบการณ์ ก็ควรจะเริ่มจากจำนวนเงินที่ไม่มากนักก่อน และอาจจะต้องนำเงินออมไปยังการลงทุนอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าและความถนัดน้อยกว่า เช่น การฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนตราสารหนี้ เป็นต้นครับ และเมื่อเราศึกษามากพอและเห็นความถนัดของตนเองแล้วจึงค่อยเริ่มลงทุนในหุ้นครับ
ดังนั้น การเป็นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใด ทั้ง VI VS หรือนักลงทุนแบบเก็งกำไร ควรจะเล่นในเกมที่เราถนัดให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการถูกบีบให้เล่นในเกมที่เราไม่ถนัดครับ
_______________
_______________
ติดตามบทความของ Invisible Hand ได้ที่เวบกระทิงเขียว ครับ
No comments:
Post a Comment