June 6, 2013
หุ้นตกหนัก มีคนบ่นว่าไอ้ฝรั่งมันขายตั้ง 33,000 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีผมบอกว่าเค้าซื้อตั้ง 1,200,000 ล้านแน่ะ (แต่ขาย 1,530,000ล้าน)
คนชอบคิดว่าฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน พร้อมๆกันเล่นเป็นรอบๆเหมือนคนไทย เลยจะขอเล่าถึงโครงสร้างตลาดหุ้นไทย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่รักจะเป็นนักเสี่ยงโชคบ้าง
ตลาดไทยมีขนาดรวม 13 ล้านล้านบาท (ที่ระดับราคาปัจจุบัน). เป็นส่วนFreeFloat ประมาณ 6 ล้านล้าน ซึ่งจะอยู่ในมือของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ(ที่เราเรียกรวมว่าฝรั่ง) 60% (ประมาณ 3.6 ล้านล้านหรือ $120 billion) โดยจะมีลักษณะและพฤติกรรมดังนี้
-ส่วนใหญ่เป็น long term Investor มี Hedge fund น้อยในตลาดไทย
-มีรวมประมาณ 120 ผู้จัดการกองทุน
-บลจ.ใหญ่ๆ เช่น Genesis, Templeton, Capital, Fidelity, Aberdeen แต่ละบริษัทมีหุ้นไทยอยู่มากกว่า 5 $billion (150,000ล้านบาท)
-ลงทุนโดยใช้ fundamental เป็นหลัก
->95% ของเงินลงทุนอยู่ใน SET100 (แต่ไม่ใช่ทุกตัวนะ)
-turnoverประมาณ 1.5 ปีต่อรอบ(เช่น ถ้า port 100,000 ล้าน ก็จะซื้อขายแค่ 70,000 ล้าน ในหนึ่งปี
-พิจารณาการลงทุนโดยเทียบกับตลาดและบริษัททั่วโลก
กลุ่มที่2 เป็นนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งถือครองอยู่ประมาณ18% (1.1ล้านๆ) อันได้แก่กองทุนรวม กบข. ประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ฯลฯ (ไม่นับรวมวายุภักษ์เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยเป็นนกมั๊ง). พวกนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกับพวกฝรั่งเกือบทุกอย่างยกเว้นข้อสุดท้ายแม้ คุณภาพจะด้อยกว่าบ้าง(นอกจากบลจ. เล็กๆหวือหวาไม่กี่แห่ง)
กลุ่มที่3 คือนักลงทุนบุคคลไทยซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% (1.2ล้านๆ) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองพวกคือพวกที่ไม่ได้ซื้อขายมากกับนักเล่นหุ้นที่ซื้อขาย บ่อยทุกสัปดาห์และส่วนใหญ่มี leverage สูงซึ่งผมประมาณว่ามีสัดส่วนถือครอง 60:40 (ตรงนี้เป็นguesstimate ไม่เหมือนตัวเลขอื่นที่เป็นfact). พวกหลังส่วนใหญ่ซื้อขายมากกว่าปีละ 10 รอบ และมักไม่มีศักยภาพพอที่จะลงทุนแบบ fundamental จริงจังได้แต่ "ตามๆเขาไป" มีบัญชีอยู่กว่า 500,000 บัญชี กลุ่มนี้ทำวอลุ่มซื้อขาย 60%. ทั้งๆที่ถือครองแค่ไม่ถึง10%
กลุ่มสุดท้ายคือ port ของบล. ซึ่งถืออยู่2-3% มีหลายประเภทแต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เหมือน Hedge Fund
หันมาทางด้าน Supply บ้าง เรามี บ.จดทะเบียนกว่า 600 บริษัท แต่ SET100 มีขนาดรวมกัน 87%. ในอดีต 5-6 ปีที่แล้ว หุ้น SET100 ซื้อขายกันแค่ 65% ของวอลุ่มทั้งหมด แล้วก็ปรับปรุงขึ้นจนเป็น 75% ในปี 2011 อย่างที่บอกแล้วว่านักลงทุนสถาบันเขาไม่ลงทุนนอกSET100. ดังนั้น มีแต่รายย่อยลงทุนซึ่งสักพักเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าการ "ตามเสี่ย ตามเจ๊" มักจะหมดตัวเลยหันไปตามฝรั่ง แต่ในสองไตรมาส หลังวอลุ่มหุ้นนอก SET100 เพิ่มเป็นเกือบ 40% อีกแล้ว แปลว่าเริ่มกลับไป "ตามเสี่ย ตามเจ๊" ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น"วี ไอ". ตลท. ภูมิใจว่าตลาดไทยมีสภาพคล่องเพราะนักลงทุนบุคคลซื้อขาย 2/3 แถมหุ้นเล็กมีสภาพคล่อง แต่ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีแค่ 2 ตลาดในโลกเองที่บุคคลซื้อขาย > สถาบัน แถมที่ว่ามีสภาพคล่องก็ทีละไม่เกิน 20 หุ้นจากหุ้นเล็กกว่า 500 (เฉพาะที่เขากำลัง"ทำ")
เล่ามายืดยาวขอสรุปเลยดีกว่า
1) ตลาดไทยมี 2 ตลาด. คือหุ้นใหญ่ที่ lead โดยนักลงทุนสถาบันคุณภาพ เป็น fundamental led กับ globalize. กับหุ้นเล็กที่ lead โดย"นักทำ"เป็น?
2) ภาวะตลาดไทยผูกติดกับภาวะตลาดโลกอย่างๆไม่มีทางจะแยกได้แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าถ้าฝรั่งขายเกิน 10% (360,000ล้าน). เราก็จะเห็น Index 600 แล้วมันก็จะหยุดขายไปเอง
3) ในภาวะที่ตลาดขึ้นต่อเนื่องอย่าง 2 ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเอง"โคตรเก่ง" ลงอะไรก็รวย (เขาเรียกว่ายุค"ปาลูกดอก") และนักทำทั้งหลายก็จะออกอาละวาด
4) ในชีวิต 36 ปีในตลากหุ้นของผม. ไม่เคยเห็น "การปั่นหุ้นการกุศล". มีแต่ปั่นไปเพื่อเชือดเท่านั้นถ้าอยากเล่นหุ้นปั่นต้องถือคติ "เกาะถูก โดดทัน" กับสวดมนต์ลูกเดียว
5) ตั้งแต่ผมหมดตัวเมื่อยุค "ราชาเงินทุน" 34 ปีที่แล้วก็ไม่เคยเล่นหุ้นอีกเลย แต่เอาเงินไปให้ Asset Management จัดการแล้วก็รวยดีมาจนทุกวันนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี รำ่รวยกันทั่วหน้า แต่ถ้าอยากชัวร์ก็รีบมาเปิดบัญชีกับ บล.ภัทรนะครับ
No comments:
Post a Comment