HARVARD SCHOOL COMMENCEMENT SPEECH.
JUNE 13, 1986.
Prescriptions for Guaranteed Misery in Life
ปีนี้
ท่านอธิบดีเบอร์ริสเฟริดได้เชิญบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติทั้งแก่ที่สุดและทั้งอยู่ทนที่สุดในตำแหน่ง
trustee ของมหาวิทยาลัยนี้เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์
ซึ่งก็คือผมเอง
ตอนนี้น้องๆ คงอยากรู้ว่า หนึ่ง
ทำไมผู้พูดถึงต้องเป็นผม และ สอง ที่สำคัญกว่า ผมจะพูดนานหรือปล่าว
ผมจะตอบคำถามว่า
ทำไมท่านอธิบดีที่นั่งอยู่ตรงนี้ถึงเลือกผม
สำหรับ Harvard ท่านอธิบดีมีชื่อเสียงมายาวนานในการคัดเลือกนักเรียนและอาจารย์ที่เยี่ยมยอดเข้ามาที่นี่
ท่านมองขาด สายตาท่านเฉียบคมเปรียบเหมือนท่านกำลังคัดเลือกม้า
แต่ม้าของท่านไม่ธรรมดา ไม่เหมือนคนอื่น
ม้าของท่านเป็นม้าที่สามารถนับหนึ่งถึงเจ็ดได้ และ
วันนี้ผมก็เป็นม้าตัวนั้นเช่นกัน
คำถามที่สอง ผมจะพูดนานแค่ไหน
ตอนนี้ผมหันมองหน้าตาน้องๆ
แล้วเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มไปด้วยแววตาที่กระตือรือร้นและความคาดหวังที่สดใสในชีวิต
ผมอยากจะเห็นบรรยากาศแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างนี้ตลอดทั้งงาน
ดังนั้นผมจะขอเก็บคำตอบข้อที่สองไว้กับตัวเองน่าจะดีกว่า
ตอนแรกที่ผมทราบว่าได้รับเชิญนั้น
ผมดีใจมากครับ แถบตัวลอยเลย แต่ก็อดวิตกคิดไม่ได้ว่า
สุนทรพจน์ของผมจะนานแค่ไหนดีถึงจะเหมาะสม
ผมคิดวนไปวนมาถึงเรื่องนี้ว่าสุนทรพจน์จะใช้เวลานานเท่าไหร่ดี
จนมันเกือบกลายเป็นหัวข้อในสิ่งที่ผมจะพูดซะแล้ว
“อาจารย์ ชาลี มังเกอร์ กล่าวสุนทรพจน์ให้กับบัณฑิตจบใหม่ในวันรับปริญญาซึ่งเป็นประเพณีประจำมหาวิทยาลัย
Harvard มาหลายสิบปี ในหัวข้อหัวเรื่อง “สุนทรพจน์นานแค่ไหนดี”
ผมไม่มีสายดำประสบการณ์พูดต่อหน้าสาธารณะ
ผมมีแต่สายดำในเรื่องของการทำอะไรนอกคอกไม่เหมือนชาวบ้านเขา ฮีโร่ของผมคือ Cicero
นักพูดโรมันก่อนคริสกาล และฮี่โร่ของ Cicero คือ
Demosthens ถ้าใครย้อนเวลาไปถาม Cicero ว่าสุนทรพจน์อันไหนของ
Demosthens ที่เขาประทับใจที่สุด เขาจะตอบว่า “อันที่นานที่สุด
ยิ่งนานยิ่งดี”
สุนทรพจน์ที่ยิ่งนานยิ่งดี
แต่เป็รตอนนั้นผมบังเอิญคิดถึง Samuel Johnson พอดี
ตอนที่เขาพิจารย์บทกวีของ Milton ที่ชื่อ “Paradise Lost” และบอกว่า
“พอทีเถอะ
ไม่มีใครอยากให้บทกวีนี้ยาวกว่านี้อีกแล้ว”
แล้วผมก็เลยเกิดคำถามผุดขึ้นมาทันทีว่า
ในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา คำกล่าวสุนพจน์ในอดีตที่ Harvard มีอันไหนที่ผมฟังแล้ว
ไม่สะใจเลย อยากให้เนื้อหาที่พูดในวันนั้นมันน่าจะยึดเวลานานกว่านั้นไปอีกสักหน่อย
มันจะมีไหมนะ มีจริงๆ ครับ มีอยู่ปีเดียวครับ ผู้พูดในปีนั้นคือ Johny
Carson ในหัวข้อเรื่อง “ วิธีทำให้ชีวิตตกอับ
ใครทำตามแล้วรับประกันชีวิตจะตกทุกข์ได้ยากประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน” ผมชอบเรื่องนี้
น่าสนใจครับ ผมตกลงจะพูดเรื่องนี้ แต่จะเพิ่มเติมบางส่วนของผมเข้าไป
ถ้าจะเทียบอายุตอนที่ Carson มาพูดที่
Harvard กับอายุผมตอนนี้ ผมแก่กว่าเขามาก
ผมทั้งล้มเหลวมากกว่า ทั้งตกอับมามากกว่า
ผมมีคุณสมบัติที่จะพูดในหัวข้อนี้ดีกว่าเขาอย่างแน่นอน
Carson เป็นนักพูดที่มีเสน่ห์เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
แต่สิ่งที่เขาพูดในวันนั้น ไม่ใช่ “ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข” แต่เป็น
“ทำอย่างไรให้ชีวิตตกอับ” และมีใบรับประกันด้วยว่าถ้าทำตามที่เขาพูดรับรองไม่ผิดหวัง
เพราะเขาได้ลองภาคสนาม ลองทดสอบทฤษฎีของเขาและปฏิบัติจริงมาหมดแล้ว ผลก็คือ
ชีวิตของเขาตกอับสมดั่งใจปราถนาทุกประการ รับประกันสรรพคุณได้ว่าใช้แล้วได้ผลจริง
บทข้อสรุป สิ่งที่เขาแนะนำก็คือ จงเป็นคน…หนึ่งขี้เหล้าเมายา สอง
จงเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อนเข้าไว้ และสามให้เป็นคนขี้หงุดหงิดโกรธง่ายโมโหเร็ว
มีทั้งสามข้อครบ รับรองเห็นผลเร็วทันตาภายในสามวันเจ็ดวัน จะไม่มีใครคบด้วย
เรื่องติดเหล้าเมายาสูตรสำเร็จตกอับของ Carson
ผมยืนยันว่าได้ผลจริง หลักฐานจากเพื่อนสนิทผมสามคนสมัยเด็กๆ
ทั้งสามคนทั้งเรียนเก่งและนิสัยดี
พวกเขาเติบโตมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องจริยธรรมเป็นอย่างดี
ถ้าดูจากวัยเด็กก็เดาไม่ออกเลยว่า ชีวิตพวกเขาจะลงเอยอย่างนี้
ตอนนี้คนแรกกำลังเป็นโรคแอลกอฮอลิค มัวเมาในอบายมุขกินเหล้าไม่พัก
เมาสรวลเสเฮฮาตลอดรายการ ทุกวัน ทุกเดือน ทุกเวลา อีกสองคนไม่ต้องพูดถึง
เพราะตับแข็งตายไปนานแล้ว น้องๆ ที่นั่งตรงนี้ ขอให้ลองเถอะ ขอให้ได้เริ่มก่อน ไม่ต้องห่วงเลย
ไม่ต้องห่วงว่าจะเลิกได้ง่ายๆ ชีวิตจะหาความสงบไม่ได้ ขาดสติ ขาดปัญญา
การปฏิบัติของท่านในข้อแรกรับประกันเหมือนตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน
ชีวิตตกอับสมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ
ข้อสอง
ฝึกให้เกิดสันดานขี้อิจฉาเป็นพื้นฐานของจิตน้องๆ ให้มากๆ ต้องกำหนดความขี้อิจฉาทุกอริยาบถ
ความขี้อิจฉานี้เป็นสูตรสำเร็จไปสู๋ความหายนะตั้งแต่ครั้งโบราณกาลก่อนที่จะมีบัญญัติ
10 ประการของโมเสสซะอีก
มันจะปิดบังปัญญาของน้องเอาไว้และรับประกันชีวิตที่ทุกข์แสนสาหัสอย่างแน่นอน
ถ้าอยากหาประวัติคนดังๆ ที่ขี้อิจฉา ลองอ่านประวัติฮิตเลอร์
หรือไม่ก็ลองดูเองเลยจากประสบการณ์จริง
จะได้รู้เองว่าเป็นคนขี้อิจฉาแล้วตกอับขนาดไหน
ไม่ต้องรู้ตามประวัติคนอื่นมาบอกเล่าอีกที
ข้อสาม ทางเชิงปฏิบัติการแล้ว
ขี้หงุดหงิดผมแนะนำไม่ผิดหวัง รับรองน้องๆ จะมีแต่ความเศร้าหมองใจตลอดเวลา
อธิบายเชิงวิชาการละเอียดกว่านี้ ไม่ยากเลย เก็บความโกรธเข้าไว้กับตัว
จิตมีแต่โทสะ จิตมีแต่ผูกเวรผูกพยาบาท น้องๆ จะมีแต่ปัญหาในชีวิตแน่นอน
เพียงพอสำหรับคำแนะนำชีวิตที่มึดมนจาก Carson
ต่อไปเป็นของผมเอง ผมมีทั้งหมดสี่ข้อ
ข้อแรก อย่ามีสัจจะ
เป็นคนไม่รักษาคำพูดทั้งกายวาจาใจ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น พูดอย่างไรก็ไม่ทำตาม
ทำอย่างไรก็พูดอีกอย่าง
ผมชอบเปรียบคนที่มีนิสัยอย่างนี้เหมือนกระต่ายในเรื่องกระต่ายกับเต่า
ไม่ว่าเต่าตัวไหนแม้กระทั้งเต๋าขาเป๋ถือไม้เท้ากะโผลกกะเผลกก็ยังสามารถแซงกระต่ายอย่างนี้ได้
ผมขอยกตัวอย่างเพื่อน roommate ของผมที่มหา'ลัย
เขาเป็นเด็กออทิสติก อาการค่อนข้างรุนแรง แต่เขาเป็นคนที่มีสัจจะ
ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและต่อคนอื่น อาจจะมากที่สุดในบรรดาคนที่ผมเคยรู้จักในโลกนี้
ทุกวันนี้มีครอบครัวที่ดี ลูกที่ดี และอาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
คำแนะนำผม ขอเตือนอีกครั้ง ถ้าใครคิดอยากมีชีวิตที่บัดซบ
อย่าพลาดข้อนี้อย่างเด็ดขาด สมหวังอย่างแน่นอน แล้วชีวิตน้องๆ จะดับมืดสนิทในปีนี้
ปีหน้า และต่อไปจนกระทั่งตาย
ข้อสอง ข้อนี้ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
ยึดมั่นในตัวเอง เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง จดจำไว้ในส่วนลึกของดวงใจน้องๆ ว่า
"ข้าเก่งคนเดียว" คุณสมบัติขอนี้อกุศลอย่างแน่นอน ต้องท่องให้ได้
อย่าไปฟังคำแนะนำจากคนอื่น ไม่อย่างนั้นแล้วเห้นทีจะมีชีวิตที่ตกอับได้ยากมาก
อย่าไปเรียนรู้ความสำเร็จและความล้มเหลวจากคนอื่น ผมขอพูดด้วยความตื้นตันว่า
ชีวิตน้องๆ จะประทับใจกับความยากลำบากในชีวิตจนสะอื้นไห้ถ้ามีนิสัยข้อนี้
ถ้าน้องๆทำดังที่ผมแนะนำแล้ว รับรองได้ผลทุกคน
ผมเคยอ่านประวัติของผู้ชายคนหนึ่ง
ซึ่งผมคิดว่าเขาอาจเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกก็เป็นไปได้
เขากล่าวว่างานของเขาแตกต่างจากงานคนอื่นตรงที่
เขาศึกษาความคิดจากคนอื่นแล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น เขาบอกว่า
"ไม่มีใครฉลาดพอที่จะเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมดด้วยตัวเอง" ชายคนนั้นชื่อว่า
ไอแซก นิวตัน
ข้อสาม อย่าลืมเด็ดขาดครับ
เป็นคนล้มแล้วไม่ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เก็บข้อนี้ไว้ในเรือนใจของน้องๆ
ปลูกฝังสันดานท้อถอยต่อปัญหาให้มากๆ ต้องทำให้ถูกจุดนี้ รับรองชีวิตจะไม่ราบรื่น
ขอย้ำไว้ซ้ำข้อนี้ เน้นหลักข้อนี้ไว้ให้มาก มันมีประโยชน์ต่อน้องๆ ที่เอาไปปฏิบัติในกิจประจำวันให้ชีวิตตกอับอย่างดีที่สุด
ผมขอยกคำพูดของ เจมส์ คอร์เบต
นักมวยอมเริกันระดับแชมเปี้ยนตำนานของโลก ที่เคยกล่าวไว้ว่า “สู้อีกยก
เมื่อไม่ไหวจนต้องลากขากลับไปชกกางเวทีใหม่ ก็ต้องสู้อีกยก เมื่อแขนยกไม่ขึ้น
ก็ต้องสู้อีกยก เมื่อเลือดไหลออกจมูก ตาเริ่มเบลอ
จนอยากให้ฝ่ายตรงข้ามชกเราให้น๊อคสลบนับสิบไปเลย จะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาใหม่
ก็ต้องสู้ต่ออีกสักยก จงจำไว้ คนที่มักสู้ต่ออีกยก เป็นผู้ที่ไม่เคยโดนน๊อค”
อย่าทำอย่าง เจมส์ คอร์เบต อย่างเด็ดขาด
ถ้าน้องๆ อยากมีชีวิตที่ตกอับ
ข้อสี่สุดท้าย
“I wish I knew where I was going to die, and then I’d never
go there.”
ส่วนใหญ่ได้ยินแล้วก็จะหัวเราะเหมือนน้องๆ
ตอนนี้ แต่ถ้าอยากตกอับจนหัวเราะไม่ออก ก็ให้น้องๆ รีบๆ ลืมประโยคนี้ครับ สิ่งที่ Carson
ต้องการบอกน้องๆ กับกับประโยคที่ผมพึ่งกล่าวไปนั้นเหมือนกันครับ
ตรงที่ถ้าน้องๆ อยากมีความสุขก็ให้น้องๆ
หาทางว่าวิธีใดทำให้มีความทุกข์บ้างและหลีกเหลี่ยงสิ่งเหล่านั้นไป
เหมือนนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกที่ชื่อว่า จาค๊อปบี้ เขาเคยกล่าวว่า
ปัญหาที่ยากๆ ผมจะตีโจทย์ออกได้ก็ต่อเมื่อผมคิดถึงปัญหาจากหลังไปหน้าเท่านั้น
ผมจะยกอีกตัวอย่าง ครั้งหนึ่ง
นักวิทยาศาตร์ที่เก่งๆ ของโลกมารวมตัวกัน พวกเขาเอาทฤษฏีของ Maxwell มาตรวจสอบกับทฤษฎีของ
นิวตัน แล้วดูว่าของ Maxwell ขัดแย้งกับนิวตันหรือไม่
แต่มีนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งทำไม่เหมือนคนอื่น เขากลับทำตรงข้าม
เอาทฤษฎีของนิวตันมาตรวจสอบกับของ Maxwell และเขาก็ค้นพบทฤษฎีที่ชื่อว่า Relativity
เขาชื่อ แอลเบริด ไอสไตน์ นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
ไอสไตน์บอกว่าชีวิตของเขาประสบความสำเร็จได้เพราะเขามีนิสัยที่กระตือรือร้น
มุ่งมั่น อดทนต่อปัญหา และจับผิดตนเอง และการจับผิดตนเองหมายถึงเขาพยามพิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขานั้นใช้ไม่ได้จริง
น่าแปลกที่เหมือนนักชีววิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอย่าง ชาร์ล ดาวิน
ที่ใช้เวลาในบั้นปลายชีวิตโดยจับผิดทฤษฎีต่างๆ ที่เขาค้นพบ
ผมพบว่า ทำไมชีวิตบรรดาบุคคลในประวัติศาสตร์
ไม่ว่าอาชีพนักวิทยาศาสตร์ นักชีวิวิทยา นักสำรวจ นักกีฬา นักธุระกิจนักลงทุน
ที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงถึงจับผิดตนเองอย่างนั้น
ความจริงที่แสนจะธรรมดาก็คือ อุปสรรคมีทุกที่
ความสำเร็จก็คือการตัดทิ้งความไม่สำเร็จออก อุปสรรคจะมีอยู๋ทุกหนทางในชีวิต
ยอมรับมัน ยอมรับตั้งแต่อายุยังน้อยๆอย่างนี้ และให้มั่นใจว่าความพากเพียรและความอดทนเท่านั้นที่ชนะพวกมันได้
ผมขอจบสุนทรพจน์ของผมโดยเอาประโยคที่ควรพูดขึ้นต้นตั้งแต่แรกมาเป็นประโยคลงท้าย
สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน
ขอให้ชีวิตทุกท่านเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปสู่ที่สูง
ด้วยการใช้ชีวิตทุกวันมองไปสิ่งที่ทำให้ชีวิตท่านไหลลงสู่ที่ต่ำ
โชคดีและสวัสดีครับ
No comments:
Post a Comment