เอา บทความดีๆ มาฝากครับ
_____________________________________
สู้ไม่ถอย
บทเรียนจากประสบการณ์ของสี่นักธุรกิจซึ่งเริ่มต้นจากศูนย์และฝ่าฟันจนสำเร็จ
By โดย ขวัญดวง แซ่เตีย
http://www.readersdigestthailand.co.th/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%A2
ประวิทย์ จิตนราพงศ์, อายุ 55 ปี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด
ความ
สำเร็จสูงสุด: ตลอดชีวิตของการเป็นลูกจ้าง ประวิทย์
จิตนราพงษ์ใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจของตัวเอง
"ผมเห็นรุ่นพี่ที่จบจากอัสสัมชัญพาณิชย์ด้วยกันเปิดกิจการทำธุรกิจส่วนตัว
ผมเลยอยากมีธุรกิจของตัวเองบ้างเพราะไม่ชอบอยู่ภายใต้เงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่คน
อื่นวางไว้
การทำอาชีพส่วนตัวน่าจะมีอิสรภาพในแง่ของความคิดและการเลือกทางเดินชีวิต
มากกว่า" เขากล่าว
เมื่อมีโอกาสในปี 2527
เขาชักชวนเพื่อนๆร่วมหุ้นลงทุนเปิดบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆชื่อบริษัท ดาต้าโปร
จำกัด
รับจ้างเขียนโปรแกรมให้บริษัททั่วๆไปและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้
ด้านคอมพิวเตอร์
หลังล้มลุกคลุกคลานระยะหนึ่งจนมาพบกับซอฟต์แวร์สำเร็จรูปบีพีซีเอส
(Business Planning and Control System)
ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ช่วยในการบริหารจัดการและควบคุมการผลิตของสหรัฐฯ
มีลูกค้าที่เป็นบริษัทสาขามาจากอเมริกาหรือยุโรปที่บริษัทแม่ระบุไว้เลยว่า
ให้ใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้เป็นมาตรฐาน
ประวิทย์จึงติดต่อขอเป็นตัวแทน
กระทั่งประสบความสำเร็จสูงสุดในธุรกิจไอที ภายใต้กลุ่มบริษัท โปรซอฟท์
จำกัด และ บริษัท โปร-ลายน์ (ประเทศไทย) จำกัด มีฐานลูกค้าเกือบ 200 บริษัท
เช่น ยูนิลีเวอร์, 3 เอ็ม, มิตซูบิชิ อีลิเวเตอร์, เบทาโกร, ซูซูกิมอเตอร์
ฯลฯ
จุดต่ำสุดในชีวิต:
เนื่องจากธุรกิจไอทีเป็นการดำเนินงานในฐานะตัวแทนซึ่งประวิทย์มองว่าไม่มี
ความมั่นคงพอ ต้องมองหาธุรกิจที่สามารถสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองได้
จึงเลือกทำร้านอาหาร
โดยเบื้องต้นเป็นการซื้อแบรนด์จากต่างประเทศมาบริหารเอง
แต่การเริ่ม
ต้นธุรกิจร้านอาหารของประวิทย์ในปี 2536
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อครั้งเริ่มต้นธุรกิจไอที
เขาก้าวเข้ามาทำธุรกิจนี้โดยที่ตนเองไม่มีพื้นฐานความรู้ความชำนาญหรือแม้
กระทั่งใจรักในสินค้าที่จะขายเลยด้วยซ้ำ
"อย่างเดียวที่ผมมีในเวลานั้นคือความอยากที่จะทำ" ประวิทย์กล่าว
ช่วง
สี่ปีแรกของการทำธุรกิจร้านแบล็คแคนยอน การเติบโตไม่ค่อยดีนัก
ประวิทย์ต้องประสบปัญหามากมายเนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจร้าน
อาหารและเครื่องดื่ม ในช่วงนั้น
ธุรกิจร้านแบล็คแคนยอนขยายสาขาได้เพียงปีละสามถึงสี่สาขา
ซ้ำร้ายยังเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540
ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมต่อเนื่อง
สถานการณ์ย่ำแย่จนถึงขั้นเกือบล้มเลิกกิจการ
กลยุทธ์ลุกขึ้นสู้ :
แต่การหยุดกลางคันย่อมหมายถึงเงินลงทุน 20 ล้านบาทละลายหายไปด้วย
ประวิทย์ประเมินสถานการณ์ในช่วงนั้นว่าเกิดจากปัญหาหลักๆสามส่วน นั่นคือ
บุคลากร ระบบการทำงาน และการหาพื้นที่
เขาค่อยๆแก้ปัญหาทีละเปลาะไปพร้อมๆกับการแก้ไขสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจปี
2540 ด้วยการเร่งขยายการลงทุนในช่วงที่ทุกคนไม่กล้าและหยุดอยู่เฉยๆ
เขาฉวยโอกาสช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกู้เงินไปทำสัญญาระยะยาวเช่าพื้นที่ทำเล
ดีๆ กระทั่งในที่สุดไม่เพียงผ่านพ้นวิกฤตมาได้
แต่ยังทำให้ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว "พอคนไม่กล้าลงทุน
ทำให้เรามีโอกาสได้พื้นที่ทำเลดีๆในราคาที่เหมาะสม เราไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป
ตะลุยเปิดสาขาในพื้นที่ต่างๆเยอะมาก" ประวิทย์กล่าว
บทเรียน :
"ผู้นำอาจตัดสินใจผิดพลาดได้
แต่ขอให้ส่วนที่ผิดมีน้อยที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายไม่มากนัก
เพราะผู้นำที่ตัดสินใจผิดมากกว่าถูกในที่สุดก็จะล้มเหลว"
ปิยะ ธนากิจอำนวย, อายุ 58 ปี, ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท รีโน (ประเทศไทย) จำกัด
ความ
สำเร็จสูงสุด:ด้วยความถ่อมตนว่าเป็นคนไร้ปริญญา
ปิยะทำงานหนักทุกอย่างตามแต่เจ้านายจะสั่งให้ทำ
จากจุดเริ่มต้นในตำแหน่งพนักงานขายภายในร้านเสื้อผ้าเล็กๆแห่งหนึ่ง
เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงในชีวิตทำงานโดยเรียนรู้และพัฒนาตัวเองจนกลาย
เป็นที่ต้องการของคนในวงการเสื้อผ้าแฟชั่น
ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นเจ้าของแบรนด์ดัง "AIIZ"
ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นที่มียอดขายต่อปีกว่า 2,000
ล้านบาทจากสาขาทั่วประเทศรวมกว่า 450 แห่ง ทั้งแบบร้านเดี่ยว
เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า
และส่งออกไปยังแปดประเทศแถบเอเชียและตะวันออกกลาง
พร้อมศักยภาพที่จะเปิดร้านสาขาในต่างประเทศได้อีกมาก
จุดต่ำสุดใน
ชีวิต: ก่อน AIIZ
จะกลายเป็นแบรนด์ดังมียอดขายสูงกว่าเสื้อผ้าแบรนด์อื่นสองถึงแปดเท่าใน
ปัจจุบัน ธุรกิจเคยประสบปัญหาหนักจนเกือบหยุดชะงักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี
2540 ช่วงเวลานั้น เสื้อผ้า AIIZ เพิ่งเปิดตัวได้เพียงปีกว่า
มีเงินลงทุนไม่มากนัก ปิยะใช้วิธีเปิดร้านจำนวนมาก
ให้มีแหล่งปล่อยสินค้าได้เร็วสุดเพื่อนำเงินกลับมาหมุนเวียนสั่งของเข้าร้าน
ด้วยเหตุนี้จึงมีเงินเหลือสำหรับสั่งสินค้ามาสะสมในคลังสินค้าได้ไม่มากนัก
ซ้ำร้ายวิกฤตเศรษฐกิจเริ่มตั้งเค้าและรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นตลาดเสื้อผ้าตกวูบ
ในปีต่อมา
กลยุทธ์ลุกขึ้นสู้:
ปิยะใช้ข้อได้เปรียบที่ตัวเองเป็นบริษัทเล็กสั่งสินค้ามาเก็บในคลังสินค้า
ได้น้อยทำให้ช่วงวิกฤตไม่มีสินค้าคงคลังเหลือ
จึงสั่งผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อให้ได้ต้นทุนถูก ขายในราคาถูก
อาศัยขายออกเร็วเพื่อนำเงินมาหมุนสั่งผลิตสินค้าใหม่ๆ
ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างตัวได้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
นั่นเอง "ถ้าตอนนั้นตัดสินใจสั่งของลดลงตามแบ
รนด์ใหญ่ๆ AIIZ คงหมดชื่อไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ถ้าสั่งมาสิบล้าน
ผมคงไม่กล้าลด 50
เปอร์เซ็นต์เพราะจะทำให้ยอดขายเหลือแค่ห้าล้านไม่พอกับค่าใช้จ่าย" ปิยะกล่าว
บทเรียน: "การ
ทำธุรกิจไม่มีคำว่าเสี่ยง เพราะธุรกิจไม่ใช่การพนัน คุณควบคุมได้
คุณรู้ว่าต้นทุนมีเท่าไหร่ ขายได้เท่าไร เช็กตลาดได้ตลอดเวลา
ใช้ความสามารถของคุณดูว่าศักยภาพของสินค้าตัวนี้น่าจะมีกำไรมากหรือน้อย
ถ้าดูพลาดก็กำไรน้อยหน่อย แต่ถ้าข้อมูลแม่น ชัด
ก็กำไรตามเป้าหมายที่ต้องการ"
ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์, อายุ 52 ปี, ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
ความ
สำเร็จสูงสุด: ต้นปี 2536 ทองมาเปิดบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท
ด้วยทุนจดทะเบียน 50
ล้านบาทเพื่อรองรับธุรกิจสร้างโครงการบ้านจัดสรรอย่างจริงจัง
แม้หลังจากนั้นเพียงสี่ปี
วิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงหนักจนภาคอสังหาฯปิดตัวกันเป็นแถว
แต่ทองมากลับโชคดีที่เบนเข็มหันมาเลือกสร้างบ้านราคาถูกทำให้ต้นทุนไม่สูง
และซื้อขายง่าย
อีกทั้งรัฐบาลยังให้การสนับสนุนด้านภาษีและเงินทุนจึงรอดพ้นวิกฤตมาได้
แถมหลังวิกฤตเศรษฐกิจ
รัฐบาลยังใช้มาตรการต่างๆกระตุ้นให้คนซื้อบ้านทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูดจน
สามารถขยายกิจการและก้าวไปเป็นบริษัทมหาชนได้ในที่ส
จุดต่ำสุดใน
ชีวิต:
ใครจะคาดคิดว่าเบื้องหลังชีวิตของเจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้รับ
การยกย่องจากนิตยสาร (เอน)ฟอร์บส์ (เลิกเอน) ฉบับกรกฎาคม 2549
ผู้นี้เดิมทีมีฐานะยากจน เรียนจบแค่ชั้นประถมสี่ แล้วต้องออกมาหางานทำ
รับจ้างกินค่าแรงขั้นต่ำไปวันๆเท่านั้น "ผมเคยทำงานเป็นลูกจ้างร้านทอง
ระหว่างนั้นผมถือโอกาสเรียนไปด้วย
เงินที่ได้มาทุกบาททุกสตางค์ต้องเก็บไว้ใช้ซื้อของจำเป็นเท่านั้น"
ทองมาดิ้นรนจนเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรม แต่ชีวิตใช่จะสบาย
"ผมจบออกมาก็ได้งานเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทขายเตาแก๊ส" ทองมากล่าว
กลยุทธ์
ลุกขึ้นสู้: ความยากลำบากทำให้เริ่มคิดถึงอนาคตและครอบครัว
ทองมาจึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพมาทำงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
โดยมุ่งหวังว่าสักวันจะเติบโตในสายอาชีพนี้
ความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในตัวทำให้ในที่สุดทองมาสามารถเปิดห้างหุ้นส่วนจำกัด
สยามเอ็นจิเนียริ่ง ในปี 2528
รับงานเหมาก่อสร้างเล็กๆจากโรงปูนและโรงงานต่างๆ
รวมถึงรับสร้างบ้านบ้างเป็นบางครั้ง "ช่วงนั้น
ผมคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นผู้รับเหมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จคงต้องกลับไปเป็น
ลูกจ้างคนอื่นเหมือนเดิม ซึ่งไม่มีอะไรเสียหายเพราะไม่มีอะไรต้องสูญเสีย
คนมาจากศูนย์จะกลัวอะไรที่จะกลับไปเป็นศูนย์อีก" เมื่อใจกล้าลุย
ความสำเร็จย่อมตามมา
ทองมาล้มลุกคลุกคลานกับสยามเอ็นจิเนียริ่งอยู่พักใหญ่ธุรกิจก็เริ่มอยู่ตัว
จากนั้น เขาเริ่มเบนเข็มมาสู่ธุรกิจอสังหาฯ เมื่อเห็นโอกาสเติบโตที่ดีกว่า
จึงตัดสินใจปิดห้างหุ้นส่วนสยามเอ็นจิเนียริ่งและหันมาลงทุนอย่างเต็มตัวกับ
พฤกษาเรียลเอสเตท
บทเรียน: "สิ่งสำคัญที่สุดคือแรงผลักดันและความตั้งใจของตนเอง ผมสั่งตัวเองทุกวัน คิดเสมอว่าเราต้องทำได้ เราต้องเชื่อมั่นในตนเอง"
วริสร รักษ์พันธุ์, อายุ 38 ปี, กรรมการผู้จัดการ ชุมพรคาบาน่ารีสอร์ต
ความ
สำเร็จสูงสุด: ความสามารถในการบริหารธุรกิจโรงแรมที่มีหนี้สินเกือบ 300
ล้านในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่เพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤตต้มยำกุ้งทำให้ชื่อเสียงของ
วริสร รักษ์พันธุ์โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วแม้ในต่างประเทศ
การนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมา
ปรับใช้ในการบริหารงานธุรกิจโรงแรมของตนเอง
ไม่เพียงช่วยให้เขาปลดหนี้สินได้เท่านั้น
แต่ยังสร้างชื่อเสียงให้ชุมพรคาบาน่ารีสอร์ต
ส่งผลให้ทั้งนักท่องเที่ยวธรรมชาติและหน่วยงานที่ต้องการเรียนรู้เรื่องแนว
คิดเศรษฐกิจพอเพียงมาเยือนไม่ขาดสายในแต่ละปี
จุดต่ำสุดในชีวิต:
วริสรอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ด้วยหนี้สินล้นตัวก่อนเกิดวิกฤตเมื่อปี 2540
ซ้ำร้ายเมื่อเกิดวิกฤต
ธนาคารยังระงับการปล่อยกู้ทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก
กอปรกับภัยธรรมชาติทำให้ขาดรายได้
มีเงินไม่พอส่งดอกเบี้ยเงินกู้จนถึงขั้นเขาเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย
"พอคนรู้ว่าเราต้องการเงินก็มีมาเสนอตัวเป็นนายหน้าอาสาหาแหล่งเงินกู้ให้
บอกให้เอาที่ดินมาจำนอง ผมไปกว้านเอาที่ดินจากญาติพี่น้องไปให้
ปรากฏว่าเงินก็ไม่ได้ ที่ดินยังสูญไปอีก ตอนนั้นสถานการณ์มาถึงจุดแย่สุด
คิดว่าตัวเองไม่เหลืออะไรอีกแล้ว คิดอยากฆ่าตัวตาย
แต่ลูกคนแรกเพิ่งเกิดตอนปี 2540
ผมมาได้คิดว่าถ้าตายไปแล้วครอบครัวจะเป็นยังไง ลูกจะเป็นยังไง"
วริสรเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้น
กลยุทธ์ลุกขึ้นสู้: วริสรเริ่มย้อนกลับมาคิดถึงคำว่า "พอดี"
ตามแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
บังเอิญช่วงนั้นเขามีโอกาสเข้าฟังบรรยายของ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล
ซึ่งมีอยู่ประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า "แก้วน้ำของคนเราไม่เท่ากัน ที่ตักก็ย่อมไม่เท่ากัน"
วริสรนำคำพูดประโยคนี้กลับมานั่งคิดทบทวน ที่สุด
เขาตัดสินใจกู้เงินเพิ่มแม้จะเป็นการกู้นอกระบบ
เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นหากคิดจะเดินหน้าต่อ
เขานำเงินมาต่อเรือขนาดใหญ่ให้บริการแก่ลูกค้าเพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่าง
จากรีสอร์ตทั่วไป "เรือที่ต่อลำละประมานสิบกว่าล้านบาท กู้เงินมาได้ไม่พอ
ผมต้องไปกู้เงินนอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละห้าต่อเดือนสูงสุดร้อยละหก
ผมกู้มาราวสองล้านบาท ดอกเบี้ยคิดเป็นเดือนละหนึ่งแสนบาท
ตอนหลังได้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละสามต่อเดือน หมุนๆไปอย่างนี้จนเรือต่อเสร็จ"
วริสรเล่าถึงนาทีที่เขาต้องตัดสินใจในช่วงวิกฤต
บทเรียน: "แก้ว
น้ำของคนเราไม่เท่ากัน ที่ตักก็ย่อมไม่เท่ากัน
ให้ถามตัวเองว่าแก้วน้ำของเราคืออะไร และที่ตักของเราคืออะไร
เราต้องทำแก้วน้ำกับที่ตักให้สมดุลกัน โอกาสพลาดจะมีน้อย"
Wednesday, January 29, 2014
Saturday, January 18, 2014
วิเคราะห์หุ้นแบบ VI / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วิเคราะห์หุ้นแบบ VI / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ value investor 8 มีนาคม 2552
นักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนที่บริหารกองทุนรวมที่ต้องลงทุนซื้อหุ้นจำนวน มากต่างก็อาศัยบทวิเคราะห์หุ้นของ นักวิเคราะห์หุ้นมือ อาชีพ แต่ผมเองแทบไม่ดูบทวิเคราะห์เหล่านั้นเลย เหตุผลก็เพราะวิธีการลงทุนของผมนั้น เป็นการลงทุน “ซื้อธุรกิจ” ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างน้อยก็ 3- 5 ปี ขึ้นไป ซึ่งไม่มีบทวิเคราะห์ไหนทำ บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์นั้นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มองไปที่ผลประกอบการอย่างมากก็ 1-2 ปีข้างหน้า ดังนั้น พวกเขาก็มักจะดูว่าบริษัทจะมีกำไรเท่าไรอิงจากผลประกอบการในปีปัจจุบัน โดยนำเอาภาวะของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมาเป็นตัวประกอบ ส่วนผมเองนั้น ผมจะสนใจในด้านของ “โครงสร้าง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ถาวรกว่าและไม่ค่อยจะขึ้นกับภาวะแวดล้อมที่จะปรับเปลี่ยน ไปเรื่อย ๆ ซึ่งโดยนัยนี้ ผมจึงไม่ค่อยสนใจภาวะเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลง แต่ผมจะสนใจโครงสร้างของอุตสาหกรรมว่า ในธุรกิจนั้นมีการแข่งขันกันอย่างไร สนใจว่าบริษัทมีจุดเด่นหรือจุดอ่อนอย่างไร ใครคือ “ผู้ชนะ” หรือจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน
การวิเคราะห์หุ้นแต่ ละตัวนั้น แน่นอน จะต้องดูรายละเอียดของแต่ละบริษัท อย่างไรก็ตาม มี “โครงสร้าง” และข้อมูลของธุรกิจบางอย่างที่เป็นตัวบอกว่าเรากำลังเจอธุรกิจที่ดีหรือไม่ดีได้ ข้อมูลเหล่านี้เราสามารถนำมาให้คะแนนเพื่อที่จะสรุปว่าบริษัทที่เราดูอยู่ เป็นอย่างไร ลองมาดูรายการที่สำคัญ ๆ
ข้อมูลตัวแรกก็คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ roe นี่คือข้อมูลที่ดูง่ายและมีประสิทธิภาพสูง บริษัทที่มี roe สูงคือบริษัทที่ดี ยิ่งสูงก็ยิ่งดี แต่ต้องดูว่าเป็นการสูงอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นปกติ ไม่ใช่สูงแค่ปีสองปีหรือในยามที่อุตสาหกรรมกำลังเป็นขาขึ้น หลักเกณฑ์ง่าย ๆ ในการให้คะแนนก็คือ ถ้าบริษัทมี roe ตั้งแต่ 15% ขึ้นไป เราก็ให้คะแนน บวกหนึ่ง ถ้า roe ตั้งแต่ 10-15 ให้คะแนนเท่ากับศูนย์ ถ้า roe ต่ำกว่า 10% ลงมาให้คะแนนติดลบหนึ่ง คะแนนที่ได้นี้จะเก็บไว้รวมกับคะแนนของข้อมูลตัวต่อไปเพื่อหาคะแนนรวมของ บริษัท
ข้อมูลตัวที่สองก็คือ กระแสเงินสดของกิจการ ถ้ากิจการขายสินค้าแล้วได้เป็นเงินสดในขณะที่เวลาซื้อสินค้าจ่ายเป็นเงิน เชื่อ กระแสเงินสดของกิจการก็จะดี ความจำเป็นต้องระดมเงินมาใช้จากภายนอกเช่นการกู้เงินหรือออกหุ้นก็ จะน้อยและจะเป็นผลดีต่อบริษัท เกณฑ์แบบง่าย ๆ ก็คือ ถ้าบริษัทมีเจ้าหนี้การค้ามากกว่าลูกหนี้การค้ามากเช่นในกรณีของผู้ค้าปลีก หรือบริษัทที่ขายให้กับผู้บริโภคโดยตรงซึ่งทำให้กระแสเงินสดของบริษัทดี ให้คะแนน บวกหนึ่ง ถ้าเจ้าหนี้และลูกหนี้พอ ๆ กันเช่นในกรณีของโรงงานผู้ผลิตจำนวนมาก แบบนี้ให้คะแนนศูนย์ ในกรณีของบริษัทที่มีลูกหนี้การค้ามากแต่มีเจ้าหนี้การค้าน้อย นั่นคือคนที่ขายสินค้าเป็นเงินเชื่อแต่ต้องจ่ายค่าสินค้าหรือวัตถุดิบในการ ผลิตเป็นเงินสด เช่น ผู้ค้าส่งที่นำสินค้ามาจากต่างประเทศ แบบนี้ก็ให้คะแนน ลบหนึ่ง
ข้อมูลตัวที่สามซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างสำคัญก็คือ ความสามารถในการปรับราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ถ้าบริษัทสามารถปรับราคาได้ค่อนข้างจะเร็วหรือทันที ความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะขาดทุนจากสต็อกสินค้าก็ไม่มีและจะทำให้สามารถรักษา ระดับของกำไรได้ค่อนข้างแน่นอน บริษัทที่มีลักษณะของธุรกิจแบบนี้มักจะมีอำนาจทางการตลาดสูง เราให้คะแนน บวกหนึ่ง บริษัทที่สามารถปรับราคาได้แต่ต้องใช้เวลาพอสมควรเช่นภายใน 3 เดือน แบบนี้ให้คะแนนศูนย์ นี่คือบริษัททั่ว ๆ ไปที่มักไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ซื้อได้ทันทีเพราะมี การแข่งขันทางธุรกิจสูง บริษัทที่ไม่มีอำนาจทางการตลาดเลยและเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บริษัทไม่สามารถ กำหนดราคาได้เลย เช่น ราคาน้ำมัน ถ่านหิน เหล็ก และผลิตผลทางการเกษตรต่าง ๆ แบบนี้เราให้คะแนน ติดลบหนึ่ง
บริษัทที่เป็น dominant firm คือมีขนาดใหญ่กว่าอันดับสองมาก มักจะมีความได้เปรียบในหลาย ๆ ด้าน เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของต้นทุน ดังนั้น เราให้คะแนน บวกหนึ่ง บริษัทตั้งแต่อันดับหนึ่งแต่ไม่ใช่ dominant firm จนถึงอันดับประมาณ 3 ของอุตสาหกรรม ให้คะแนนศูนย์ บริษัทที่มีอันดับหลังจากนั้นให้คะแนน ติดลบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพิสูจน์หรือเชื่อได้ว่าขนาดของกิจการไม่ได้มีผลต่อต้นทุนหรือความได้ เปรียบอย่างอื่นในการแข่งขัน เราก็ให้คะแนนศูนย์กับทุกบริษัท
ข้อมูลตัวที่ห้า คือข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัท กิจการบางแห่งเป็นกิจการที่ขยายงานได้โดย “ไม่ต้องลงทุน” นี่คือกิจการที่ใช้หรือต้องลงทุนใน อาคาร อุปกรณ์ เครื่องจักร และเงินทุนหมุนเวียนของตนเองน้อย และภายในเวลาเพียง 2-3 ปี ก็ได้เงินคืนมาหมด เช่น กิจการค้าปลีกที่อาศัยการเช่าสถานที่เปิดร้านค้าเป็นหลัก กิจการแบบนี้เป็นกิจการที่ดีเพราะจะสามารถขยายงานไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องกู้หรือเพิ่มทุน ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้สูง แบบนี้ให้คะแนน บวกหนึ่ง กิจการที่เวลาขยายงานต้องลงทุนสูงพอสมควรอย่างเช่นโรงงานที่ผลิตสินค้า ธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีมากนักเช่นผลิตอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือผลิตไฟฟ้าหรือน้ำประปา แบบนี้ให้คะแนน ศูนย์ กิจการที่เป็นโรงงานที่ซับซ้อนและเทคโนโลยีมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเร็วทำ ให้ต้องอัพเกรดโดยการลงทุนอุปกรณ์ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ แบบนี้ให้คะแนน ลบหนึ่ง
ข้อมูลตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงที่เป็นข้อมูลสำคัญก็คือ การเจริญเติบโต กิจการที่โตเร็ว นั่นคือ ในระยะยาวโตเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจหรือ gdp ตั้งแต่ 3 เท่าขึ้นไป นั่นคือยอดขายโตประมาณปีละ 15% ให้คะแนน บวกหนึ่ง ยอดขายโตตั้งแต่ 5-15% ต่อปีโดยเฉลี่ยให้คะแนน ศูนย์ ยอดขายโตต่ำกว่า 5% ต่อปีในระยะยาวให้คะแนน ลบหนึ่ง การเติบโตของยอดขายที่ว่านี้ต้องเป็นการเติบโตแบบทบต้นและระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก
รวมคะแนนทั้งหมดของบริษัทที่เราวิเคราะห์ก็จะได้คะแนนที่อาจจะเป็นบวก ลบ หรือเป็น ศูนย์ บริษัทที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้ บวก 6 คะแนน ต่ำสุดก็จะได้ ลบ 6 คะแนน ซึ่งคงหาได้ยากพอควร เอาตัวเลขที่ได้บวกด้วย 10 ก็จะได้ค่า pe สูงสุดที่เราจะซื้อหุ้นตัว นั้น นั่นแปลว่า บริษัทที่ดีที่สุดได้คะแนนสูงสุดเราจะซื้อต่อเมื่อ pe ไม่เกิน 16 เท่า บริษัทธรรมดา ๆ ที่คะแนนไม่บวกหรือลบเราก็จะซื้อต่อเมื่อ pe ไม่เกิน 10 เท่า และบริษัทที่แย่มากที่สุดนั้น เราไม่ควรซื้อที่ pe เกิน 4 เท่า และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีวิเคราะห์และซื้อหุ้นแบบ vi เวอร์ชั่นหนึ่ง ที่หยาบ ๆ และคิดในใจได้
Subscribe to:
Posts (Atom)