Saturday, December 26, 2015

MOONG Pattana

วันนี้ขอสรุปเนื้อหาจาก Opportunity Day ของ MOONG 3Q/15 

เริ่มเลยละกันครับ

ภาพรวมธุรกิจ 
- ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ
1) Own Brand มีสินค้า 4 กลุ่ม ได้แก่ Baby and Mom, Food and Beverage, Household, และ Personal Care ตัวอย่าง Brand ในกลุ่มนี้ เช่น Pigeon, V-Care
2) Trading รับจำหน่ายสินค้า
3) ธุรกิจรับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์
- ตลาด FMCG มีอัตราการเติบโต 4-5%, มูลค่าตลาดรวม 823,000 ล้านบาท
- กลยุทธ์ทางการตลาด เน้นทั้ง Product ad Market Expansion
- มีการขยายตลาดไป AEC เน้น Loas, Cambodia  และปัจจุบันกำลังดู Myanmar, VN
- กลยุทธ์ 3 ปี
1) การเติบโตของจำนวนผลิตภัณฑ์ รวมไปถึง JV และ M&A
2) High Quality Distributor Service
3) International Market Disposure
- เป้าหมายธุรกิจ


Financial Highlight
- รายได้
- กำไรดีขึ้น เพราะ Implement SAP, ลดต้นทุน, JV กับ Pigeon ผลกำไรดีขึ้น

- DE Ratio ค่อนข้างต่ำ
- ROA, ROE, NPM

- โชว์ข้อมูลเทียบหุ้นบริษัทอื่นๆ ให้ดูด้วย


- ข้อมูลรายไตรมาส (จาก ไฟล์ พี่ Kanchit Paisan เชิญไปอุดหนุนกันได้)


Q&A
1. กำไรหลักมาจาก Thai Pigeon อยากให้เล่ารายละเอียด?
- คุณสุเมธ เล่าว่า Pigeon Corporation ถือว่าเป็น Global Company ขยายการลงทุนไปทั้ง USE, Europe, China, ASEAN, Brazil, Russia, India
- Pigeon ที่ผลิตจุกนม, ขวดนม ก็มีจีน (ผลิตใช้เอง) และไทย ทำให้ Thai Pigeon ได้รับ Order มาเยอะ จุกนม, ขวดนมทั้งหมดที่ญี่ปุ่นผลิตที่ไทย
- คิดว่าคงให้คำตอบแล้ว

2. จีนมีนโยบายลูกคนที่ 2 แต่ทาง Pigeon ก็มีการเปิดโรงงานที่จีน แต่ในบางช่วงที่โรงงานจีนผลิตไม่ทัน ก็อาจมาซื้อจากไทยบ้าง แต่ทาง Moong ไม่ถือเป็นปัจจัยหลัก

3. หุ้นของ Moong ที่ถือใน Thai Pigeon 47% ก็ถือมาตลอด คงเส้นคงวา ซึ่งในอนาคตตอบไม่ได้ ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นรึเปล่า และทุกวันนี้ Thai Pigeon ก็ขยายงานตลอด แต่ไม่ได้เพิ่มทุน ใช้ผลกำไรในการขยายงาน

4. ความคืบหน้า PP กับหุ้นกู้?
- เรื่อง PP ทาง กลต. มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เข้มงวดขึ้น แต่ไม่มีผลย้อนหลัง ยังใช้กฎเก่า แต่ทาง Moong ยังไม่ Exercise เพราะยังคิดว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เนื่องจากสภาพตลาดมีการผันผวนมาก

5. การเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า
- Moong ตั้งเป้าหมายรายได้ 1,500 ล้านบาท ในอีก 3 ปี ส่วน NPM พยายามจะเพิ่ม EBITDA margin และรักษาระดับผลกำไรเอาไว้ให้ได้
- Thai Pigeon มีนโยบายขยายธุรกิจทุกปี เพิ่มเครื่องจักรทุกปี แต่ต้องรอ Shareholder meeting ถึงจะบอกตัวเลขได้, ตลาดต่างประเทศของ Pigeon แข็งแกร่ง, ที่ไทยเป็น Base ซึ่งคุมต้นทุนได้ดีมาก ตปท. ต้องมาดูงาน, คุณภาพก็ดี มี Claim นิดๆ หน่อยๆ

6. การส่งออกไปญี่ปุ่น ปีนี้จะโตกว่าปีที่แล้ว 20% เพราะคนจีนไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่กวาดซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นกลับไปจีน

7. Market Share ของ Jordan?
- Colgate+System 7x%, Jordan ปีที่ผ่านมาเกือบ 1% ตั้งเป้า 2-3%

8. e-Commerce โตมากๆ จากเครื่องสำอางกับแม่และเด็ก?
- ต้องมองเชิงบวก ถือเป็นช่องทางจัดจำหน่าย เป็นหนึ่งในโอกาส
- ทุกวันนี้ Moong มีหน่วยงานที่เจาะเข้าไปใน e-Commerce, ลูกค้าสั่งเข้ามาที่ website ของบริษัทได้, ติดต่อขายสินค้าตาม website e-Commerce ต่างๆ เช่น Lazada

9. ปีหน้ามี plan จำหน่ายสินค้าใหม่ๆ?
- น่าจะมี 2-3 Brand

10. จะมีสินค้าใหม่ๆของ Pigeon ไหม?
- จะมีการพัฒนาตลอดอยู่แล้ว เช่น Breast Pump Model ใหม่

11. Market Share ในตลาด?
- จุกนมยังรักษาระดับ 50%
- ขวดนม ค่อนข้าง Positive Market Share เติบโต

12. พื้นที่ Warehouse ยุบไปให้ outsource จึงทำให้มีพื้นที่ตั้งเครื่องจักรเพิ่มได้, Utilization ประมาณ 80%

13. เครื่องจักรที่เพิ่มทุกปี เป็นการทดแทนเครื่องเก่า หรือ เพิ่มจำนวน?
- มีรุ่นเก่ามากๆ เครื่องผลิต Silicone ขายทิ้งไป 1-2 เครื่อง
- เครื่องใหม่ ใช้เพิ่มกำลังการผลิต

14. Net Profit Pigeon โดยปกติ 15-16% แต่ปี 2015 มีผลจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีการส่งออกเป็น USD ทำให้ NPM ปีนี้ 18%, ส่วน GPM เป็นความลับ

15. Cambodia กับ Laos?
- Cambodia V-Care, กลุ่มสินค้า Peachy
- Laos : V-Care, Jordan, ได้รับสิทธิ์ขาย Pieon ในลาวแล้ว ต้นปีหน้า น่าจะได้เข้าไป

Wrap up
- ด้วยผลประกอบการและราคาหุ้น ก็ถือว่าอยู่ในระดับ น่าสนใจ ต้องลองไปศึกษากันต่อครับ
- ช่วง Q2-Q3 2015 บริษัท มีการเพิ่มทุน แจก Warrant MOONG-w1 เวลาประเมินมูลค่าก็ต้องคำนึงถึงส่วนนี้ด้วย หรือท่านใดชอบลงทุน Warrant ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ อายุ Warrant ยังอีกนาน อยู่ถึงปี 2561
- อีกบริษัทที่น่าดูเปรียบเทียบในไทย ก็น่าจะเป็น DSGT
- อาจเขยิบขึ้นไปดูหุ้น ตปท. เช่น บริษัทแม่ Pigeon หรือ Mamy Poko


Slide นำเสนอ
http://www.dcs-digital.com/setweb/downloads/2558q3/20151214_moong.pdf

Friday, December 25, 2015

เป็นหนึ่งเดียว ดีกว่าเป็นที่หนึ่ง


หากปล่อยไปตามกระแสลมแห่งการยอมรับตนเอง
ร่างกายก็จะไม่เกร็ง และจับกระแสลมของชีวิตได้

เป็นเรื่องประหลาดครับ เวลาที่เราคิดว่า "เราต้องเปลี่ยงแปลง"
เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

แต่เมื่อไหร่ที่เราคิดว่า "แบบนี้น่ะ...ดีแล้ว"
เรากลับจะเริ่มเปลี่ยนแปลง

เพราะเราลอยไปตามกระแสลมแห่งการเปิดใจยอมรับตัวเอง
และที่ปลายกระแสลมนั้นจะมีหนทางที่เราควรก้าวเดิน ปรากฏอยู่

"เมื่อสยายปีกแห่งความกล้าออก ลมแห่งโอกาสก็จะพัดโชย"
by เทนสึขุแมน (ผู้กำกับและนักกลอนริมถนนชาวญี่ปุ่น)

ที่มา : หนังสือ เป็นหนึ่งเดียว ดีกว่าเป็นที่หนึ่ง


Sunday, December 20, 2015

VIBHA ตอนที่ 2 Q&A Oppday

อ่าน ตอนที่ 1 ตาม link เลยครับ

Q&A
1. เป้าหมายการลงทุน กลุ่มโรงพยาบาลที่ถือหุ้นไม่ถึง 20%
- VIBHA ถือหุ้นแบบ oneway เช่น SKR, สินแพทย์ โดยหากเห็นว่ามีการเติบโต ก็จะลงทุนเพิ่มแน่นอน

2. การหยุดให้บริการคนไข้บัตรทองของโรงพยาบาลช้างเผือก
- คาดว่าจะไม่มีผลกระทบ ปี 2014 ขาดทุน เนื่องจากมีการให้บริการลูกค้าบัตรทอง, ปีนี้จะกำไร

3. รายละเอียดเงินลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาลวิภารวม
- การลงทุนแต่ละโรงพยาบาลสร้างใหม่ ประมาณ 700-1,000 ล้านบาท แต่มีตัวแปรคือ ราคาที่ดิน (อาคาร 500-600 ล้านบาท ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง, ส่วนที่ดินไม่เกิน 300 ล้านบาท พื้นที่ 10 ไร่)
- ตอนนี้มุ่งไปลงทุนที่นิคม ตัวอย่าง เช่น วิภารามอมตะ จะทำให้เติบโตเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีฐานผู้ประกันตน อยู่
- จะไปลงทุนเพิ่มที่ วิภารามอมตะระยอง
- เงินจากการออก Warrant จะใช้ในการลงทุนโรงพยาบาลใหม่ๆ

4. มีการเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาลให้มีชื่อ "วิภาวดี" หรือ "วิภาราม" หรือไม่
- มีแนวคิดนี้อยู่ จะทำให้การส่งต่อผู้ป่วย ทำได้ดีขึ้น คาดว่าจะใช้เวลา 5 ปี (แต่ในทางพฤตินัย ก็ทำอยู่แล้ว)

5. เป้าหมายการเติบโตของรายได้ 3 ปี ข้างหน้า
- มีโรงพยาบาลเกิดใหม่ ทุกปี กำไรอาจลดลงช่วงแรก แต่ก็มีลูกที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ น่าจะชดเชยได้ คิดว่า จะทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลไม่สะดุด (หากหยุดสร้างโรงพยาบาลใหม่เมื่อไหร่ กำไรจะโตเร็ว)
- มองว่าเป็นการสร้างโอกาสเมื่อ AEC เปิด ให้ต่างชาติมาเลือกลงทุนได้ อาจให้หุ้นราคาที่ถูกกว่าโรงพยาบาลที่มีกำไรเยอะๆ
- สรุป เป้ารายได้ คาดว่าจะเติบโตทุกปี, แต่กำไรสุทธิ คาดว่าจะโต 10% ต่อปี

6. รายได้รวมปี 2559 และงบลงทุนเฉลี่ย
- รายได้โตไม่น้อยกว่า 10%
- เงินลงทุนต้องใส่เพิ่ม ประมาณ 300-400 ล้านบาท/ปี
- มีเงินจาก Warrant 1,200 ล้านบาท / 5 ปี
- มี Warrant ทำให้แทบ ไม่ต้องกู้เงิน โดยจะรักษา D/E Ratio = 1 : 1
- ไม่ต้องกังวลเรื่องเพิ่มทุนแน่นอน
- ปันผลดีต่อเนื่อง ดูแลผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี อยากให้ถือในระยะยาว

7. รายได้เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 3 ปี ที่ผ่านมาพอจะ Breakdown เป็น Volume คนไข้, Intensity, และการปรับราคาค่ารักษาพยาบาล?
- โรงพยาบาลที่เปิดนานๆ เช่น วิภาวดี อัตราการเพิ่มคนไข้ต่ำ
- โรงพยาบาลเปิดใหม่ คนไข้เติบโตสูง
- เหมือนการจับปลา ในทะเล เปิดนานๆ ไม่ค่อยมีปลาให้จับแล้ว แต่ก็มีวิธีการเติบโตคือ ต้องเพิ่มท่ายาก รักษาโรคยากๆ เช่น โรคหัวใจ, โรคสมอง
- แยกรายละเอียดยากว่าที่โต 10% มาจากอะไรบ้าง
- คุณชัยสิทธิ์ มองว่าธุรกิจโรงพยาบาล ยังต่อยอดไปได้มาก ไม่ได้มองว่าต้องมารักษาคนอย่างเดียว เช่น พวก Consumer Product มี Margin สูงมาก และความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องก็ต่ำกว่า
- ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของโรงพยาบาล ก็คือ ความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง
- รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับราคายา ในท้องตลาดก็ขึ้นอยู่ตลอดเวลา VIBHA มีการปรับให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และมีระบบการติดตามควบคุมภายในเพื่อลดการรั่วไหล

8. ตึกใหม่ที่ VIBHA plan จะทำอะไรบ้าง, Utilization rate ยังไม่เต็ม?
- Utilization Rate เป็นอัตราการครองเตียงเฉลี่ยทั้งปี มี High / Low Season เช่น ช่วงไข้เลือดออก โดยทั่วไปประมาณ 60% กว่าๆ, เจ้าหน้าที่ ER ก็ต้องเตรียมความพร้อมคนไว้เยอะๆ
- VIBHA มี Net Profit 12-13%, บางโรงพยาบาลที่ถืออยู่ ก็มี EBITDA แค่ 6-7% ถือว่า VIBHA ก็คิดค่าบริการสมเหตุสมผล
- ตั้งเป้าหมายไว้ซัก 300 เตียง
- พื้นที่ ที่จะลงทุนใหม่ คิดว่าจะเพิ่มมูลค่าที่ดินทั้งแปลง เพราะอีก 2 ไร่กว่า ก็ติดหัวถนน ราคาที่ดิน จะกลายเป็น 250,000 บาท/ตร.ว. ทั้งหมด และมีรถไฟฟ้า อยู่ใกล้ สมัยก่อนซื้อมาแค่ 10,000 กว่า/ตร.ว. มี Hidden Asset อยู่นะ เป็น 1,000 ล้านบาท
- ส่วนหนึ่งจะทำเป็น Mall เล็กๆ ด้วย ที่เหลือเป็นโรงพย


Wrap Up
- VIBHA ธุรกิจหลักๆ เป็นกลุ่ม Healthcare ซึ่งก็ถือว่าเป็นกลุ่ม Defensive Stock ที่ดีกลุ่มหนึ่ง มีผลประกอบการที่สม่ำเสมอ ทำให้โดยปกติ ตลาดจะให้ Premium กับหุ้นในกลุ่มนี้ตลอดเวลา
- กลยุทธ์การเติบโต ที่น่าสนใจของบริษัท ก็คือ การขยายโรงพยาบาลร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ในนาม "โรงพยาบาลวิภาราม" แต่ช่วงเปิดโรงพยาบาลใหม่ ก็อาจฉุดผลประกอบการลงบ้าง
- เจตนารมณ์ Warrant ชัดเจน เพื่อการลงทุนในอนาคต และต้องการให้แปลงเพื่อเอาเงินเข้าบริษัทมาลงทุน
- ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เป็นนักลงทุน มือฉมัง มีความมุ่งมั่น ที่จะนำพากิจการบริษัทให้เจริญเติบโต รวมไปถึงมุ่งหวังที่จะเพิ่ม Market Value ด้วย ซึ่งก็ทำได้ตามที่เคยตั้งเป้าไว้ก่อนหน้า ก็ต้องดูว่า จะทำได้ตามเป้าหมายใหม่หรือไม่ น่าสนใจครับ สำหรับบริษัทนี้

Saturday, December 19, 2015

VIBHA ถึงเวลาออก Oppday กับเขาบ้าง

เป็นครั้งแรกสำหรับการออก Opportunity Day ของ VIBHA
วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้ นักลงทุนรายย่อย มีความเข้าใจธุรกิจของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
(มาได้ถูกเวลาเลยครับ)
โดยคุณ Ojoflick update เอาไว้ให้ตาม Link ข้างล่างนี้
Oppday ครั้งแรกของ VIBHA 3Q/15

ข้อมูลธุรกิจ
- VIBHA เป็นโรงพยาบาลเอกชน เริ่มดำเนินการปี 1986 มีขนาด 100 เตียง ปัจจุบัน มีขนาด 250 เตียง
- Listed ปี 1992
- ปัจจุบัน VIBHA มีการลงทุนในหลายๆ ธุรกิจ ทั้งกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ CMR, SKR, VibhaRam และบริษัทที่ไม่ได้ทำธุรกิจโรงพยาบาล ได้แก่ Innovation Technology และ ทิพยบดินทร์ เป็นต้น
- ได้รางวัลต่างๆ มากมาย, ติด Top 200 บริษัทที่น่าลงทุนจากนิตยสาร Forbes Asia
- ที่ตั้งโรงพยาบาล และสัดส่วนการถือหุ้นในแต่ละโรงพยาบาล


- บริษัทตั้งเป้าหมาย รายได้เติบโตปีละ 10%

- ปี 2015 นี้คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 20%
- สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่ได้มีปัญหาอะไร
- งบเดี่ยว ของ VIBHA ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 12% จากปีที่แล้ว
- โรงพยาบาลวิภาวดีเอง มีคนไข้ประมาณ 500,000 คนต่อปี, คนไข้ต่างชาติ 1.89% ไม่ได้มีการให้บริการคนไข้ประกันสังคมและบัตรทอง, OPD : IPD = 54% : 46%, Utilization Rate 62.55%, Insurance : Self Pay = 54% : 45%, Quota คนไข้ประกันสังคมประมาณ 400,000 คน
- CMR คือ กลุ่มโรงพยาบาลลานนา มีโรงพยาบาลในกลุ่ม ตามด้านล่าง

- กลุ่ม CMR มีคนไข้ประมาณ 1.2 ล้านคน, 873 เตียง, Utilization Rate 63%, จำนวนวันนอน 2.7 daybed, กลุ่มลูกค้า IPD : OPD : Social : UC = 42 : 34 : 22 : 2 โดยจะลดสัดส่วนคนไข้บัตรทอง
- กลุ่ม CMR ปีนี้คาดว่ารายได้เติบโตตลอด และปีนี้ทำ อัตรากำไรสุทธิดีขึ้น กำไร 9 เดือนปี 2015 เกินทั้งปี 2014
- กลุ่ม VibhaRam มีแผนการขยายงานทุกปี
- กลุ่ม VibhaRam มีคนไข้ ประมาณ 1.2 ล้านคน, ปัจจุบันมี 856 เตียง, Utilization Rate 77%, 3.37 daybed, IPD : OPD : Social : UC = 28 : 27 : 23 : 22, Quota คนไข้ประกันสังคมประมาณ 270,000 คน
- กำไรกลุ่ม VibhaRam ปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าปีที่แล้ว
- โรงพยาบาลวิภาวดี มีแผนขยายโรงพยาบาล ซื้อที่เพิ่มมาแล้วประมาณ 2 ไร่ จะสร้างอาคาร พื้นที่ขนาด 17,000-18,000 ตร.ม.
- ลงทุน 10% ใน Innovation Tech เป็นที่ปรึกษา ออกแบบ จัดการ พัฒนาการใช้พลังงาน รายรับ 172 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5.3 ล้านบาท
- ลงทุน 99.99% ใน Princeton Park เป็นโรงแรม 270 ห้อง  และ 10% ใน Legacy Golf Club, รายได่ประมาณ 100 ล้านบาท กำไร มีการปรับทางบัญชี ปี 2015 คาดว่ากำไรไม่น้อยกว่า 4 ล้านบาท และยังไม่ได้รับรู้กำไรจากสนามกลอฟ์ เพราะยังไม่ได้รับปันผล
- ลงทุน 50% ในบริษัท ทิพยบดินทร์ ผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับการล้างไต รายได้ 170 ล้านบาท เติบโตดี กำไร 7.7 ล้านบาท และปี 2015 มีการเข้าซื้อ Chingtex เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์แบบใช้แล้วทิ้ง  เริ่มผลิตแล้ว แต่ยังไม่ได้ขายให้บริษัทในกลุ่ม
- มีข้อมูลหุ้นให้ดูด้วย  แจ่มเลย


ตอนที่ 2 ครับ

Friday, December 18, 2015

Miniso ร้าน 100 เยน สัญชาติจีน แต่หัวใจญี่ปุ่น??

ไปจีนรอบนี้ เจอร้านขายของ Style ร้าน 100 เยน ร้านนึง ที่มีชื่อว่า "Miniso"

ตัวร้านตั้งอยู่ชั้นใต้ดิน ของห้าง ใจกลางเมือง ซึ่งเมืองที่ผมไปก็ถือว่าเป็นเมืองเล็กๆ ในจีน
แต่ห้างหรู ที่ขายแต่ของแบรนด์เนม หรูหรา และ ราคาพอๆกับในไทยทีเดียว
จะมีก็แต่ชั้นใต้ดินของห้าง ที่มีสินค้าที่ราคาพอซื้อหาได้หน่อย

*รูปร้าน Miniso จาก website พอดี shop เพลิน ไม่ได้ถ่ายรูปร้านมา แต่สไตล์ประมาณนี้หล่ะ

จริงๆ แล้วชั้นใต้ดินของห้างนี้ ก็มีร้านสไตล์ร้าน 100 เยน อยู่หลายร้านเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ร้าน Miniso ดูเตะตาก็คือ กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น
เริ่มตั้งแต่ Logo ร้าน, การตกแต่งร้าน, การจัดวางสินค้า, และที่สำคัญก็คือ ตัวสินค้าเอง
ซึ่งร้าน Miniso เป็นร้านขายสินค้าจำพวก Lifestyle trend 
ที่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10 หยวน (ประมาณ 55 บาท)
และสูงสุดน่าจะไม่ประมาณ 100 หยวน (550 บาท)  
ซึ่งตัวสินค้าเองก็มีรูปแบบการ Design แบบ Minimalist คือ เรียบง่าย แต่มี Style
ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ที่ป้ายราคาสินค้า มีราคาที่เป็นเงินเยน กำกับอยู่ด้วย เทียบกับเงินหยวน ให้ดูเลย
ลองดู ตย. ป้ายราคา (เป็นหมอนหนุนคอ)

ซึ่งพอเราเห็นว่าสินค้าขายที่ญี่ปุ่นด้วย
สมองก็เกิดสั่งการให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้าขึ้นมานิดๆ
ประกอบกับราคาสินค้า ก็ไม่ได้แพงมาก 
(บางชิ้นเข้าขั้นราคาถูก เทียบกับสินค้าจีน ที่นำเข้ามาขายในไทย)
ก็เลยจัดไปหลายอย่างเหมือนกัน
ที่ชอบใจก็ Rubic ลื่นมากๆ อันละ 50 บาท (ในไทยลื่นๆ แบบนี้ขายแพงมาก น่าจะหลายร้อย)
พวกอุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ เช่น power bank ก็ซื้อมาเหมือนกัน ราคาประมาณ 400 บาท 8000 mAh 
(ต้องรอดูว่าใช้ได้นานแค่ไหน)
และในร้าน ยังขายสินค้า อื่นๆ อีกมาก ทั้งพวกเครื่องสำอาง, และข้าวของเครื่องใช้สไตล์ร้าน 100 เยน

พอกลับมาไทย เลยลอง Search หาข้อมูลร้านดู (คิดน่าจะมาเปิดในไทยบ้าง)
ก็พบความจริง เกี่ยวกับกลยุทธ์ ของร้าน Miniso กันแบบถึงแก่นเลยทีเดียว

ร้านนี้เขาใช้กลยุทธ์ แบบจีน ขนานแท้ คือ การ "Copy and Paste" นั่นเอง
และ Miniso ได้ทำเหนือกว่านั้นไปอีก 1 Step คือ สินค้าจีนโดยทั่วไปจะ Copy แค่รูปแบบสินค้า
แต่ Miniso copy วิธีการ มาทั้งยวงทีเดียว เริ่มตั้งแต่ 
1. Logo ทำให้นึกถึง Uniqlo ขึ้นมาทันที (ตอนอยู่จีน นึกไม่ถึง Uniqlo แค่รู้สึกว่า Logo คุ้นๆ)
2. Ambient store ก็ เรียบง่าย Style Uniqlo + Muji
3. ชื่อร้าน Miniso หากดูตัวอักษรจีน มี blogger ท่านนึง อ้างอิงว่ามาจาก Uniqlo, Muji, และ Daiso
4. Pricing strategy ก็ตามแนว Daiso เลย แต่เริ่ม ที่ 10 หยวน ให้ซื้อหาง่าย
5. Product Quality ที่ผมยังชอบร้านนี้อยู่ คือ คุณภาพสินค้า ยังถือว่า OK และหากเทียบกับราคา ถือว่าดีเลย 
ซึ่งสินค้าทุกวันนี้ตามที่รู้ๆกัน มันก็ Made in China แทบจะทุกอย่างอยู่แล้ว 

แต่กลยุทธ์ ที่ทำให้รู้สึกแย่ ก็คือ การระบุราคาสินค้าเป็นเงินเยน เอาไว้ในป้ายราคานี่หล่ะ 
หลอกกันซื่อๆ ว่าคุณซื้อสินค้าที่ขายที่ญี่ปุ่น และได้ราคา discount ด้วยนะ

โดยรวมก็ต้องนับว่า เจ้าของ ช่างมีความกล้าหาญจริงๆ สำหรับกลยุทธ์ต่างๆ 
อ่านประวัติก็บอกว่าผู้ร่วมก่อตั้ง Miniso เป็นชาวญี่ปุ่น มาร่วมหุ้นกับนักธุรกิจชาวจีน 
ก่อตั้งปี 2011 ใน website ก็อ้างว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สาขาเยอะมาก (เป็น 1000 สาขา)
แต่อ่านจากข่าว หลายๆ แหล่ง สรุปว่าไม่มีสาขาที่ญี่ปุ่นนะ
แถมล่าสุดยังออกข่าวว่าจะเปิดสาขาใน Singapore และ Dubai
คงต้องรอดูว่าจะหมู่ หรือจ่า และจะมาเปิดร้านในไทยด้วยรึเปล่านะครับ

ปล. 
1. จริงๆ แล้ว คุยกับเพื่อนชาวจีน บอกว่า คนจีน ก็ชื่นชมคุณภาพสินค้าของญี่ปุ่นอย่างมาก
อาจทำให้กลยุทธ์การสร้างกลิ่นอายความเป็นสินค้าที่ส่งไปขายที่ญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จได้ดีในจีนหล่ะมั้ง
ถึงแม้คนจีนและญี่ปุ่นจะมีความแค้นกันมานาน โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

2. หากคนที่เคยไปงาน กวางโจวเทรดแฟร์ ก็จะพอรู้ว่า ต้นทุนการผลิตสินค้าในจีนนั้นถูกมากๆ
ตัวอย่างเช่น ผ้าม่าน ในห้องน้ำ ก็ต้นทุนการผลิตไม่เกินชิ้นละ 1 หยวน ก็ประมาณ 5 บาท
(พิมพ์ไม่ผิด ราคาถูกมาก แต่ต้องซื้อ 1,000 ชิ้นขั้นต่ำนะ)
ที่แพงก็พวกค่าขนส่ง ค่าบริหารจัดการอื่นๆ
ซึ่งการขายในราคาที่ 10 หยวน ก็ยังมีกำไรแน่ๆ (มากด้วย) หากขายได้ volume เยอะๆ

Friday, December 11, 2015

ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า

คู่มือชีวิต ตอน ๖๘ โดย นพพร เทพสิทธา

เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๑๘๓ วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘
เป็นเวลาเกือบ ๕๐ ปีแล้ว ในสมัยที่ยังเป็นเด็กและได้ศึกษาธรรมจากท่านอาจารย์สู พรหมเชยธีระ 
ที่จังหวัดชลบุรี ได้รับความเมตตาจากท่าน สอน “เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ” ให้ 
“คนเราจะประสบ ‘ความสำเร็จ’ ได้ ต้องมี ๓ สิ่ง คือ 
1.‘ตัวเองช่วย’ (จู่จ่อ)
2. คนอื่นช่วย’ (นั้งจ่อ)
3. ‘ฟ้าช่วย’ (ทีจ่อ)”
ตอนแรกๆที่ฟัง ก็รู้สึกว่า เป็นคำสอนง่ายๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
แต่เมื่อเริ่มทำงาน จึงเริ่มเข้าใจความหมายทีละน้อยๆ และ เห็นว่าเป็นคำสอนที่มีประโยชน์มาก 
ถ้าเข้าใจและสามารถทำให้ครบได้ทั้ง ๓ องค์ประกอบ 
ก็จะประสบ “ความสำเร็จ” ได้จริงตามคำสอนของท่านอย่างแน่นอน 

แต่การทำย่อมไม่ง่ายเหมือนการพูด ยิ่งถ้าเป็นคำสอนแบบตะวันออก 
ที่ต้องใคร่ครวญไตร่ตรองให้ตกผลึกด้วยตนเองแล้ว 
ไม่ใช่อะไรที่เรียนรู้ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว ต้องคิดไปทำไปเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วจะค่อยๆเข้าใจ 
สุดท้ายก็จะพบว่า ถ้าเริ่มต้นด้วยความเชื่อมั่น และ ตั้งใจลงมือทำอย่างสม่ำเสมอจริงจังแล้ว 
ก็จะเข้าใจและบังเกิดผลได้ไม่ยาก 

“ตัวเองช่วย” (จู่จ่อ) 
เข้าใจได้ง่ายที่สุด เรื่องนี้ส่วนใหญ่ทุกคนก็รู้ แต่ไม่ค่อยอยากจะทำตาม 
เพราะอยากจะได้อะไรง่ายๆ ไม่ต้องลำบาก คือ เราต้องเป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้ก่อน 
ต้องพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถและมีความพร้อมตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ทวี บุตรสุนทร ได้ให้คำแนะนำในเรื่อง “ตัวเองช่วย” ไว้ว่า 
“คนเราจะประสบความสำเร็จได้ มีหลักเบื้องต้น ๔ ข้อ คือ 
สุขภาพดี (Good Health), ทำงานหนัก กว่าผู้อื่น (Work Hard), 
ทุ่มเทเวลาให้กับงาน (Work Long), และ เรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต (Life Time Self Education)” 

เราต้องฉลาดพอที่จะดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจของตนเอง ให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ 
จนกว่าจะหมดเวลาของเรา เพื่อที่จะได้มีกำลังกายและกำลังใจที่เข้มแข็ง  
มีสมองและความคิดอ่านที่มีประสิทธิภาพ สามารถทำงานหนักและยาวนานได้เมื่อจำเป็น 
พร้อมที่จะรับภาระที่หนักขึ้นได้ และ ก็สามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ในระหว่างที่ต้องทำงานหนัก 
ร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอ ย่อมเป็นอุปสรรคและบั่นทอน “ความสำเร็จ” คนส่วนใหญ่ 
พออายุมากขึ้น ค่อยตระหนักชัดในเรื่องนี้ 
แต่กว่าจะเข้าใจและเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายอย่างจริงจัง 
บางทีก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้

เรื่องการดูแลจิตใจ ก็เช่นกัน ถ้าไม่เจอเรื่องทุกข์ใจหนักๆ หรือ ป่วยปางตาย 
ก็คงยังอยู่ในความประมาท 
ผู้ที่ต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ต้องพยายามดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจให้ดีอยู่เสมอ 
ดั่งเช่น โยคี ในอินเดีย ที่ฝึกฝนโยคะ หรือ นักพรตเต๋า 
พระวัดเส้าหลิน ในจีน ที่ฝึกกำลังภายนอกกำลังภายใน 
ด้วยความเห็นที่ว่า การมีชีวิตที่ยืนยาวเป็นอมตะ 
จะทำให้สามารถเรียนรู้ธรรมจนบรรลุความสำเร็จขั้นสูงสุดได้ 
หากตายเสียก่อนในระหว่างที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย
โดยทั่วไป เมื่อเราทำงานหนักและยาวนานกว่าคนอื่น 
เราก็จะสามารถพัฒนาทักษะในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว และ มีผลสำเร็จของงานมากกว่าคนอื่น 
ยิ่งพยายามศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในงานที่ทำ งานที่เกี่ยวข้อง และ งานในระดับที่สูงขึ้นไป 
ก็จะทำให้ประสบ “ความสำเร็จ” และเจริญก้าวหน้าในระดับที่สูงขึ้นๆได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

“คนอื่นช่วย” (นั้งจ่อ) 
ย้ำเตือนให้ตระหนักถึงสัจธรรมข้อหนึ่งว่า 
ความสำเร็จของบุคคลแต่ละคน ไม่ได้เกิดจาก “ตัวเองช่วย” เท่านั้น 
ต้องมีบุคคลอื่นที่มีส่วนช่วยอยู่ด้วยเสมอ ไม่มากก็น้อย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 
ความสำเร็จในงาน ต้องมีคนใดคนหนึ่ง หรือ หลายคน หรือ ทั้งหมด 
ในคน ๔ กลุ่มดังต่อไปนี้ ช่วยอยู่ด้วยเสมอ ได้แก่ ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกัน 
ผู้ใต้บังคับบัญชา และ คนที่บ้าน
“ความสำเร็จ” ยิ่งใหญ่และมีผลต่อคนมากขึ้นเพียงใด “คนอื่นช่วย” ก็ยิ่งมากขึ้นตาม

“คนอื่นช่วย” อาจช่วยในหลายลักษณะ เช่น ช่วยเพราะหน้าที่, 
ช่วยเพราะหวังผลประโยชน์ร่วมกัน, ช่วยเพราะความสัมพันธ์ทางธุรกิจ, 
ช่วยเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว, ช่วยเพราะตอบแทนคุณ, 
ช่วยเพราะรักน้ำใจ, ช่วยเพราะคุณธรรม ฯลฯ

แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเราต้องการความมั่นใจว่า 
ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด จะมี “คนอื่นช่วย” เราเสมอ 
สิ่งที่เราควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องฝืน ก็คือ เราต้องช่วยคนอื่นก่อนเสมอ 
เราต้องมีน้ำใจ ช่วยคนอื่นทันทีที่มีโอกาส โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน, 
ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาช่วยเราก่อน, หรือ ช่วยเพราะหวังให้คนอื่นช่วยเรากลับ

บุคคลที่มี “คนอื่นช่วย” เสมอ มักเป็นผู้นำที่มีบารมี, เป็นผู้นำที่สร้างสมดุลระหว่างงานกับคน, 
เป็นผู้นำที่มีคุณธรรม ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักเป็นผู้ที่ประสบ “ความสำเร็จ”เสมอๆ

“ฟ้าช่วย” (ทีจ่อ)
อาจมีคำเรียกอย่างอื่นที่มีความหมายคล้ายๆกัน เช่น “โชคดี”, “พรหมลิขิต”, 
“บุญบันดาล”, “ธรรมะจัดสรร”, หรือ อะไรก็แล้วแต่ 
ที่ดูเหมือนว่า มีอำนาจอะไรบางอย่างที่มีอิทธิพลต่อ “ความสำเร็จ” 
ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมและการคาดการณ์ของเรา
มีภาษิตของจีนหลายบทที่กล่าวถึงเรื่อง “ฟ้าช่วย” เช่น
 “การกระทำเป็นเรื่องของคน ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้า”, 
“คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต” ให้ความหมายคล้ายๆกันในทำนองที่ว่า 
แม้ทำจนสุดความสามารถแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่า จะสำเร็จหรือไม่ 
ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับ “ฟ้า” จะกำหนด 

“ฟ้าช่วย” หรือ “ฟ้า” ในภาษิตจีนข้างต้น อาจตีความหมายได้ ๒ ประการ คือ 


ประการแรก หมายถึง กฎแห่งธรรมชาติ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอนเสมอ 
ในข้อที่ว่า เหตุเป็นเช่นไร ผลก็เป็นเช่นนั้น 
ไม่ว่าต้องการจะได้ผลดีอย่างไร ผลก็ไม่มีทางดีไปกว่า 
สิ่งที่ควรเป็น ตามเหตุปัจจัยที่กำหนด ดังนั้น เมื่อเราทำเต็มที่แล้ว 
ก็ไม่ต้องไปกังวลใจหรือหวังมากเกินไปในผลที่จะเกิดขึ้น 
ผลย่อมเกิดอย่างแน่นอนตามเหตุที่ทำ 
ยกเว้นมีเหตุปัจจัยอื่นที่เราไม่รู้หรือควบคุมไม่ได้ เข้ามาเกี่ยวข้อง 
ทำให้ผลไม่เป็นไปตามเหตุที่เราทำอย่างเดียว

ประการที่สอง หมายถึง “โอกาสความเป็นไปได้” ซึ่งมีผลต่อ “ความสำเร็จ”
จากประสบการณ์ พบว่า เมื่อเรามีทั้ง “ตัวเองช่วย” และ “คนอื่นช่วย” คือ 

ตัวเองมีความสามารถเพียงพอ และ ทุกคนพร้อมช่วยสนับสนุน 
แต่ถ้ายังไม่ถูกจังหวะเวลา หรือ โอกาสยังไม่เปิด 
ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็จะไม่ประสบ “ความสำเร็จ” 
ในทางกลับกัน แม้ว่า ตัวเองไม่ได้ทำอะไรมาก คนคอยช่วยเหลือก็มีน้อย
แต่ถ้าถูกจังหวะเวลา หรือ โอกาสเปิดพอดี ก็อาจสำเร็จได้อย่างง่ายดาย 
งานบางอย่างออกแรงแทบตาย ไม่สำเร็จสักที 
แต่งานบางอย่าง ไม่ต้องทำอะไรมาก ก็สำเร็จได้ผลดีกว่าที่คาดไว้ 
เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นคอยจัดการให้อยู่

แม้ว่า “ฟ้าช่วย” เป็นเรื่องที่ยากจะพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า 
มีผลต่อ “ความสำเร็จ” ได้จริงหรือไม่ ? อย่างไร ? แค่ไหน ?
แต่ค่อนข้างแน่ใจว่า “โอกาส” หรือ “ความเป็นไปได้” มีผลต่อ “ความสำเร็จ” อย่างแน่นอน 
ผู้ที่มีวิสัยทัศน์และเดินตามวิทัศน์ ผู้ที่มองเห็นโอกาสและใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ 
ย่อมประสบ “ความสำเร็จ” ได้มากกว่า ผู้ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ หรือ มองไม่เห็นโอกาส 
ราวกับว่า ฟ้าคอยช่วยบุคคลเหล่านี้อยู่เสมอ 
แต่เมื่อใดที่บุคคลเหล่านี้ ใช้โอกาสที่ “ฟ้าช่วย” ไปในทางที่ผิดคุณธรรม 
ฟ้าก็จะทวงสิ่งที่ได้ช่วยไปแล้วกลับ และ ลั่นกลอนปิดประตูช่วย เช่นกัน

“ทำดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทนเสมอ”
การคิดดี พูดดี ทำดี เสมอๆ ย่อมเป็นการสร้าง “โอกาสความเป็นได้”
ทำให้เราได้พบแต่สิ่งดีๆ และ ประสบ “ความสำเร็จที่ดี” ตามที่เราต้องการ
“ฟ้าช่วย” ก็คือ อำนาจแห่งคุณงามความดีที่เราสร้างและสะสมไว้นั่นเอง
ไม่ใช่อำนาจอะไรที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและการคาดการณ์ของเรา
ใช่หรือไม่ ?

Thursday, December 10, 2015

The Martian : Mark Watney ชายผู้ไม่ยอมแพ้

ลองคิดภาพตัวเอง...
หากวันหนึ่ง ถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันหนาวเหน็บ
แถมไม่ใช่บนดาวโลก แต่เป็นดาวอังคาร!
หลายๆ คง "สิ้นหวัง" หรือ "หมดอาลัยตายอยาก"
แต่คำเหล่านั้นไม่อยู่ในพจนานุกรม ของ Mark Watney!
ใช่แล้ว! Mark Watney จากหนังเรื่อง The Martian นั่นเอง

หลายๆ คนคงได้ดูหนังกันไปแล้ว 
แต่ถึงจะดูแล้ว ก็ขอเชิญชวนให้หาซื้อหนังสือมาอ่านกันดูอีกซักรอบ สองรอบ
ยิ่งใครไม่ได้ดูหนัง ก็แนะนำให้อ่านหนังสือดีกว่า

ถึงแม้หลายๆ Comment ใน Pantip จะบอกว่า
หนังเรื่องนี้ มัน "Feel Good" เกินไปก็เถอะ
(แต่มันก็ Feel Good จริงๆ นั่นแหล่ะ)
ที่บอกว่า Feel Good ก็เพราะตา Mark Watney นี่แก สู้สุดใจเพื่อนความอยู่รอด
"ไม่ยอมแพ้" ต่อ โชคชะตา ที่ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างเอาซะเลย

อีกอย่างหนึ่งที่ชอบ วิธีการแก้ปัญหาของ Watney
บางครั้งเวลาที่เราเจอปัญหาที่ซับซ้อน 
หรือเจองานเข้ามาพร้อมๆกันหลายๆงาน
ก็อาจทำให้เรามึนไปเลยว่าจะทำอะไรก็ดี
แต่สำหรับ Watney จะพูดอยู่ตลอดเวลาว่า
"One at a time", "One at a time"
ซึ่งก็คือ ทำมันไปทีละอย่างนั่นแหล่ะ 
แต่ก็ทำแบบมีที่มาที่ไปนะ ไม่ใช่ทำมั่วๆ สุ่มๆ ไป
ซึ่งหากไม่ทำอะไรเลย ก็คงไม่รอด...ตาย อยู่บนดางอังคารนั่นแหล่ะ

ตอนจบในหนังสือยังมีประโยคซึ้งๆด้วยนะ 
(ชอบมากๆ เลย)

ปล. จริงๆ ที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
ก็เพราะ อ่าน comment ใน facebook ของเพื่อนอ่ะ 
เลยแบบว่าต้องออกไปซื้อทันที

รีวิวมาซะขนาดนี้ รีบไปหาอ่านกันโดยพลัน
ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัวด้วยครับ!


Wednesday, December 9, 2015

“ยิ้มให้กับโลกสักครั้ง”


...ความสำเร็จใครกันเป็นผู้กำหนด? ไม่มีใครรู้หรอก แต่จงจำไว้ว่า ความสำเร็จไม่ได้มีหนทางเดียว ดังนั้นจงจำไว้ว่า เลือกในสิ่งที่เหมาะที่สุดกับคุณ จงอย่าลอกแบบตัวอย่างความสำเร็จของคนอื่น...

เขาคือ หนึ่งในสี่จตุรเทพแห่งฮ่องก
เขาคือ นักร้อง ดารา ที่มีผลงานมากที่สุด
เขาคือสามี คุณพ่อ และผู้ชาย ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น "สุภาพบุรุษ"ทั้งบนเวทีและในโลกแห่งความเป็นจริง
ล่าสุด เขาได้รับทาบทามให้เป็นโค้ชของรายการประกวดร้องเพลงชื่อก้อง The voice.......แต่ คุณเคยเห็นเขา "บรรยาย" หรือเปล่า ??

หลิวเต๋อหัว ได้เป็นแขกรับเชิญรายการโทรทัศน์ของจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดาราและนักร้องหนุ่มใหญ่วัย 52 ปีได้ “เดี่ยวไมโครโฟน” เป็นภาษาจีนกลาง รายการนี้เป็นรายการที่เชิญบุคคลดังในแวดวงต่างๆ มา “บรรยาย” ให้ผู้ชมฟังในรูปแบบของห้องเรียนเสรีเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาว

และต่อไปนี้ คือ คำบรรยายของหลิวเต๋อหัว ในหัวข้อ “ยิ้มให้กับโลกสักครั้ง”

“ ปี 1961 ผมเกิดที่ชนบทของฮ่องกง แถวบ้านมีนกยูง มีหมูมากกว่า 200 ตัว มีนกพิราบจำนวนนับไม่ถ้วน ตอนเด็กๆผมได้เห็นสิ่งที่เด็กๆสมัยนี้ไม่เคยเห็นมากมายหลายอย่าง เป็นของจริงที่ชัดเจนยิ่งกว่าโทรทัศน์ในยุคนี้ 

ตอน 6 ขวบ พ่อตัดสินใจพาผมย้ายจากชนบทมาอยู่ในเมือง พ่ออยากให้พวกเราได้สัมผัสกับโลกภายนอกที่กว้างขวาง แต่การทอดทิ้งบ้านเกิดทำให้คุณปู่โกรธพ่อของผมมาก พอตอนแบ่งพินัยกรรม พ่อของผมจึงไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง หลังจากนั้นเราจึงต้องอาศัยอยู่ในเขตยากไร้ของฮ่องกงที่เรียกว่า “ภูเขาเพชร” ทำไมถึงเรียกว่า “ภูเขาเพชร ? อาจเป็นเพราะว่าคนที่นั่นล้วนฝันว่า ที่อยู่ของพวกเราที่นี่จะดูดีขึ้นในสักวันหนึ่ง

พ่อของผมเป็นพนักงานดับเพลิง และเพราะบ้านที่นั่นมีแต่บ้านไม้ ทุกวันจึงต้องระวังไฟไหม้ ต้องจำให้ได้ว่าบัตรประชาชนวางไว้ที่ไหน เพราะถ้าไฟไหม้เราก็ทำได้แค่รีบเข้าไปเอาบัตรประชาชน แล้วก็หนีออกมา....และวันหนึ่ง เมื่อผมอายุ 10 ขวบก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจริงๆ พวกเราก็เลยต้องย้ายออกมา พ่อกับพวกเราต้องอาศัยอยู่ในที่พักชั่วคราวที่รัฐบาลช่วยสร้างขึ้นนานถึง 1 ปี จนกระทั่งปีต่อมา เราจึงได้ย้ายเข้าไปยังบ้านใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยปูนเป็นครั้งแรก ในช่วงนั้นพวกเราต้องปากกัดตีบถีบทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีวิต

จนกระทั่งปี 1980 ผมมีโอกาสอบรมกับสถานีโทรทัศน์ TVB และได้เซ็นสัญญากับทางสถานีในที่สุด 

นั่นเป็นประวัติชีวิตคร่าวๆของผม วันนี้ผมมาบรรยาย มาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะสอนอะไรกับพวกคุณได้บ้าง พวกคุณคงคิดว่า หลิวเต๋อหัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสุดๆ แต่ความจริงแล้ว หลิวเต๋อหัวถูกสื่อมวลชนแต่งแต้มจนกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ เหมือนกับว่า ผมไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอน ก็มีชีวิตอยู่ได้จนอายุ 52 ปี แต่ความจริงแล้ว ผมเป็นแค่ “คนธรรมดา” คนหนึ่ง....และก็เคยล้มเหลวเช่นเดียวกัน

ปี 1981 ผมเพิ่งเข้าอบรมกับ TVB ตอนนั้นผมมีแฟนสาวที่คบหากันนานถึง 3 ปีแล้ว ผมคิดว่าเป็นผู้ชายต้องรับผิดชอบ จึงมุมานะทุกอย่าง ตอนเช้าเริ่มฝึกตั้งแต่ 9 โมง จนถึงตอนค่ำยังต้องฝึกเต้นรำ และการแสดงมากมาย 

และวันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์ คนที่โทรมาถึงแฟนของผมที่ไม่มีเวลาไปพบกันนาน 4 เดือนแล้ว เธอถามผมว่ามีเวลาปลีกตัวมาสักนิดไหม? ผมตอบตกลง แต่เวลากว่าจะออกมาพบกันได้ก็นานถึง 8 ชั่วโมงถัดมา เธอนัดผมที่ยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งโรแมนติกมาก สามารถมองเห็นฮ่องกงได้ทั้งเกาะ แต่เธอกลับใช้สถานที่นี้บอกเลิกกับผม ผมพร่ำถามตัวเองว่า เพราะอะไร? ผมไม่ได้ทำผิดอะไร? แต่ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายอะไรสักคำเดียว เธอก็หันหลังจากไปแล้ว ผมค่อยๆเดินลงจากเขาจนมาถึงป้ายรถเมล์ รอจนกระทั่งรถที่ไม่ค่อยมีผู้โดยสารคันหนึ่งมาถึง ผมนั่งอยู่แถวสุดท้ายคนเดียว ผมรู้สึกว่ายิ่งรถวิ่งไปข้างหน้าเร็วเท่าไหร่ หยาดน้ำตาก็ปลิวสวนทางไปเร็วเท่านั้น

ความล้มเหลวในรักครั้งแรก ทำให้ผมทุ่มเทกับการทำงานมากขึ้น และในที่สุด ผมก็ได้พบกับความสำเร็จครั้งแรกนั่นคือ การได้รับบทพระเอก นั่นคือความสำเร็จ....แต่ความสำเร็จมีหลายอย่าง

ในปี 1985 ผมถ่ายละครเรื่อง “มังกรหยก” เพิ่งเสร็จ ตอนนั้นผมเห็นเฉินหลง เห็นโจวเหวินฟะ หันไปเล่นภาพยนตร์กันมากมาย ผมก็อยากจะมีโอกาสเล่นหนังบ้าง จึงบอกกับทาง TVB ว่า ผมขอเล่นละครปีละแค่หนึ่งเรื่องได้ไหม? เวลาที่เหลือขอไปเล่นหนัง ทาง TVB ตอบว่า ไม่ได้!ผมจึงต้องเลือก และผมเลือกที่จะออกจากสถานีโทรทัศน์ใหญ่อย่าง TVB เพื่อมารับเล่นหนังอย่างอิสระ ในตอนนั้นคนรอบตัวผมบอกว่า “หลิวเต๋อหัว นายตัดสินใจอย่างนี้ล้มเหลวแน่!”

แต่การตัดสินใจของแต่ละคนล้วนมาจากหัวใจ ผมก็เดินตามทางที่เลือกแล้ว....จนกระทั่งผมได้พบกับ “คนตัดคน” ได้พบกับ “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” และได้พบกับ “ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ”....คราวนี้คนรอบตัวกลับบอกกับผมว่า “หลิวเต๋อหัว นายตัดสินใจตอนนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ!” 

ความสำเร็จใครกันเป็นผู้กำหนด? ไม่มีใครรู้หรอก แต่จงจำไว้ว่า ความสำเร็จไม่ได้มีหนทางเดียว ตอนที่ผมลาออกจาก TVB มาดิ้นรนด้วยตัวเอง แต่ยังมีอีกคนหนึ่งเลือกที่จะอยู่กับ TVB เขาคนนั้น คือ เหลียงเฉาเหว่ย...แล้ววันนี้เขาประสบความสำเร็จหรือไม่? ดังนั้นจงจำไว้ว่า เลือกในสิ่งที่เหมาะที่สุดกับคุณ จงอย่าลอกแบบตัวอย่างความสำเร็จของคนอื่น

คนรู้จักจินเคอไหม? เขาคือมือสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ เขาทำสำเร็จหรือล้มเหลว คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาล้มเหลวใช่ไหม? จิ๋นซีฮ่องเต้รวมอาณาจักรจีนเป็นหนึ่ง สำเร็จหรือล้มเหลว คนส่วนใหญ่คิดว่าทำสำเร็จใช่ไหม? แต่วันนี้ ทำไมคุณยังจำมือสังหารที่ชื่อจินเคอได้ ? ทำไมคนจำนวนมากประณามการปกครองของจิ๋นซีฮ่องเต้ ? ความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่ที่คุณบอกตัวเอง แต่ประวัติศาสตร์จะเป็นบอก 

คนที่ชอบผมจะบอกว่า หลิวเต๋อหัวเป็นดาราใหญ่ มีครอบครัวที่มีความสุข แต่คนที่ไม่ชอบผมก็จะบอกว่า หลิวเต๋อหัวเล่นหนังบู๊ล้างผลาญไร้สาระ เพียงแค่โชคดีถึงดัง และเขายังเห็นแก่ชื่อเสียงไม่เอาใจใส่ครอบครัว คนใกล้ชิดทุกคนต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เช่นนี้แล้วผมก็คือคนที่ล้มเหลวที่สุด 

ผมเห็นคนที่ประสบความสำเร็จมามาก หลายคนน่ารำคาญมาก พวกเขามักคิดว่าจะต้องแสดงอัตตาให้มากที่สุด บางครั้งแม้แต่ข้อบกพร่องของตัวเองก็ยังคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของอัตตา แต่ถ้าคุณมีปัญญาจะพบว่า เราสามารถใช้ความมานะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถึงตอนนั้นคุณก็จะเป็นคนที่ทั้งประสบความสำเร็จ และเป็นคนที่ผู้คนรัก

ทุกคนตอนเช้า ผมจะยืนอยู่หน้ากระจกแล้วถามตัวเองว่า คุณเป็นใคร? คุณเคยทำผิดต่อตัวเองไหม? คุณเคยทรยศตัวเองไหม? คุณเคยหลอกตัวเองไหม? ถามตัวเองอย่างนี้ทุกวันเพื่อเตือนสติตัวเอง จากนั้นค่อยเดินออกไป ยิ้มให้กับคนในครอบครัว ยิ้มให้กับเพื่อนบ้าน ยิ้มให้กับคนแปลกหน้าที่พานพบ ยิ้มให้กับ...คนที่ล้มเหลว คุณจะพบว่าโลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความรัก หากโลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความสำเร็จจะยังห่างไกลจากเราทุกคนงั้นหรือ? โลกที่เต็มเปี่ยมด้วยรัก แม้คุณจะล้มเหลว ก็จะยังมีสักคนหนึ่งที่ยิ้มให้กำลังใจคุณ

โลกนี้คนที่ประสบความสำเร็จย่อมมีน้อยกว่าคนที่ล้มเหลวแน่นอน แต่พวกคุณจำไว้ว่า ขอเพียงคนที่ล้มเหลวอย่างพวกเราไม่ล้มเลิก ไม่ยอมแพ้ ก็จะไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่ประสบความสำเร็จแน่นอน.”

ที่มา : FB Nuttachat Kumsiritrakul

Tuesday, December 8, 2015

TPAC Oppday ครั้งแรก ตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์!


Link Oppday
Slide นำเสนอ

ข้อมูลนำเสนอ

  • 1983 เริ่มด้วยเครื่องจักร 5 เครื่อง, ปัจจุบันมี 167 เครื่อง
  • Listed ปี 2005
  • ผลิต Rigid plastic packaging กำลังการผลิต 20,000 ตัน/ปี
  • ลูกค้า : อาการและเครื่องดื่ม 50%, personal care 28%, home care 10%, อื่นๆ (custom - plastic closures
  • Domestic 91%, Export 9%
  • ตัวอย่างลูกค้า ดังรูป (ฟังแล้วนึกถึง PJW เลย)
  • พัฒนาการของบริษัท

  • ปีที่ผ่านมา ยอดขาย โต 10%CAGR
  • ปัจจุบัน Lohia Family ถือหุ้นใหญ่ 60.55%

  • Vision และ กลยุทธ์ ดูดีทีเดียว ดังรูป

  • TPAC มีการเติบโตไปตามลูกค้า มีความสัมพันธ์ที่ดี
  • กระบวนการผลิต ดังรูป
  • ตัวอย่างผลิตภัณฑ์

  • Financial performance ก็เรื่อยๆ นะ (ลองดูในไฟล์ Oppday ละกันครับ)
  • Key Investment Highlights

Q&A
  1. ถามเรื่อง Innovation (Product Differentiation) vs. Under Utilization of Capacity การใช้กำลังการผลิตประมาณ 16,000 ตัน (80%) แต่ก็ต้องเตรียมงบลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตทุกปี 
  2. Net Profit = 6.5% , EBITDA margin = 15%
  3. ผลิตบรรจุภัณฑ์อย่างเดียว เต็มที่ก็ติดฉลาก, พิมพ์สี โดยลูกค้าจะเอาไปบรรจุสินค้าเอง
  4. สัญญามีทั้งแบบ contract และทางวาจา โดยทั้งหมดเป็นการ deal กันแบบ long term (partnership)
  5. AEC ทำให้ตลาดใหญ่ขึ้น และอาจสร้างโอกาสในการเจริญเติบโตแบบ Inorganic (ซื้อกิจการ)
  6. ราคาน้ำมันไม่ได้กระทบตรงๆ ทาง TPAC เป็น Converter ส่งผ่านราคาสินค้า ไปให้ลูกค้า (แต่ก็มี delay โดยการปรับราคา เป็นรายไตรมาส หรือ หากราคาวัตถุดิบขึ้นสูงมากเกินกี่ %)
  7. ยอดขายในประเทศ มีบางส่วนที่เป็น indirect export คาดว่าประมาณ 20-30% ของยอดที่ขายในประเทศ
  8. การปรับสัดส่วนการผลิต ตามความต้องการลูกค้า ซึ่งการกระจายกระบวนการผลิตเป็น 3 process ก็เป็นการกระจายความเสี่ยง
  9. Forecast 2016 บริษัทสนใจเรื่องยอดการผลิตมากกว่า เพราะราคา product ก็ตามราคาพลาสติก และ focus bottom line โดยคิดว่าจะเทียบเท่า 5 ปี ที่ผ่านมา
  10. ลูกค้าต่างประเทศซื้อฝาพลาสติก จาก TPAC เนื่องจาก บริษัท สามารถผลิตสินค้านี้ได้ ในขณะที่ประเทศของลูกค้าผลิตไม่ได้ 
  11. Add-on จากการผลิตขวด (ใส่ฟิลม์, ติดฉลาก) ปัจจุบัน พนักงาน 100 คน จาก 900 คน ทำกิจกรรมพวกนี้อยู่ ถือเป็น Value-added ให้บริการครบวงจร
  12. หากราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกเพิ่ม ซึ่งก็จะมีผลช่วงแรก ช่วงที่ยังไม่ได้ปรับราคาขายขวด อาจได้ผลกระทบบ้าง แต่บริษัท ใช้วิธีบริหาร inventory เอา
  13. กระบวนการผลิตมีการทำ In-house recycle บางส่วน แต่ก็มีบางส่วนที่ recycle ไม่ได้ โดยมี %waste ประมาณ 0.3-0.4% จากช่วงเริ่มทำใหม่ๆ 30 ปีที่แล้ว %waste ถึง 7%
  14. BOI ผบห. ก็ดูอยู่เรื่อยๆ ว่าจะขอได้ไหม

Wrap up
  • ไม่รู้ว่า Lohia Family ที่ Takeover จะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ช่วงที่เข้ามาซื้อกิจการ ก็ทำเอาราคาหุ้นหวือหวา ทีเดียว 
  • อ่อ นอกจากหุ้นแม่ ยังมี TPAC-w1 เหลืออีกพอสมควร หมดอายุปีหน้าครับ


คำที่ใช้แล้วคนทำงานด้วยกันจะปลื้ม...

จาก Page PAG Design

คำที่ใช้แล้วคนทำงานด้วยกันจะปลื้ม...
1. "เยี่ยม..."
เมื่องานแล้วเสร็จ "เยี่ยม" นี่มันให้ความรู้สึกมากกว่า "ดี" เยอะเลย เวลาจะสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน
2. "อัจฉริยะเลย"
เช่นกัน แต่คำนี้มันเหมือนหมัดฮุกเข้าไปในใจคนฟัง เมื่อเห็นแนวคิดเจ๋งๆ ในการปรับปรุงงาน
3. "ขอบคุณ"
อาจดูธรรมดา แต่มันจริงใจ ไม่มาก ไม่น้อยในการใช้ในงานที่ทำกันประจำวัน พูดแล้วหยุดสักนิด ยิ่งจะเป็นการแสดงถึงความตั้งใจจริง รู้สึกจริง
4. "เป็นคำถามที่ดี..."
มันจะทำให้คนภูมิใจ ไม่รู้สึกโง่ มันเป็นเหมือนโบนัสที่จะนำไปสู่บรรยากาศที่เปิด โปร่งใสและคุณภาพ
5. "ใช่ และ…"
มันดีกว่า "ใช่..แต่ว่า.." มากเลย เพราะมันไม่สร้างการต่อต้าน หรือ ความรู้สึกลบ มันส่งผ่านว่าเราเปิดใจแล้ว
6. "ฉันเข้าใจ ผมเข้าใจ เราเข้าใจ"
เอาแค่นี้พอ มันแสดงถึงการประนีประนอมกัน ไม่ต้องต่อด้วยคำว่า "แต่" มันจะเสียเรื่อง
7. "จะให้ช่วยอะไรได้บ้าง?"
อมตะนิรันดร์กาลแห่งความเอื้ออาทร ใครๆ ที่ทำงานด้วยกันก็อยากได้ยินคำนี้ มันแสดงว่าเราพร้อมที่จะช่วยแก้ปัญหา
8. "ในสถานะการณ์ของคุณ…"
ใช้เวลา feedback จะดีมาก มันดีกว่าที่จะบอกว่า "ต้องทำแบบนี้" คนที่ทำงานด้วยจะรู้สึกว่ามีทางเลือก มันให้การตัดสินใจ ให้ทางเลือกแก่คน
Cr : nimexpres

Sunday, December 6, 2015

Oppday VNT 3Q15

Oppday ของ VNT ครั้งแรก หลังจากห่างหายไปนานเกือบ 3 ปี ครับ
Image result for vinythai
- ถือหุ้นใหญ่โดย Solvay 58.77%, PTTGC 24.98%
- ผลิตภัณฑ์หลัก PVC, VCM, NaOH, EDC, ECH (ชื่อจำยากจัง มึนเลย ฮ่า...)
- PVC ก็ทำได้หลายอย่าง หลักๆ ก็ Construction (ท่อน้ำ, cable, พื้น,อื่นๆ) 70%
- NaOH (Caustic Soda) ไปหลายอุตมาก เหล็ก, กระดาษ
- ECH (Epichlorohydrin) ส่วนประกอบของ Electronics, ทำ Paints & Coatings, Composite material ทำ wind turbine
- กระบวนการผลิต ECH ช่วยลด Waste จากกระบวนการผลิต และลดต้นทุนด้วย
- ปี 2016 คาดว่า Spread จะดีขึ้นกว่าปีนี้, แต่ดีที่ไม่มี Turnaround, overcapacity ใน จีน ยังกดดันราคา product
- Spread 1Q15 ดี, 2Q15 Ethylene ขึ้นไม่ดี, 3Q15 ดีขึ้น, 4Q15 so-so
- Impairment เงินลงทุนที่จีน (SBT) คาดว่าจะไม่มีแล้ว แต่สถานการณ์ overcapacity ในจีนสูงมาก (+40%)
- หาก gas อ่าวไทยหมดจะทำอย่างไร (ก็หนาวสิ) แต่ PTTGC ก็กำลัง work เรื่อง Gas
- จบประมาณนี้ดีกว่า เข้าใจยากจังครับ บริษัท petrochemical โดยรวมก็ราคาตาม Spread หล่ะครับ


Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...